Networking สำคัญกับการทำงานมากกว่าที่เราคิด

หากคุณกำลังอยู่ในช่วงวัยที่เริ่มต้นทำงาน หรือทำงานมาได้สักระยะ แล้วยังไม่ได้รู้สึกอยากเข้าสังคมหรือสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน ลองคิดใหม่อีกครั้ง เพราะจริง ๆ แล้วการทำความรู้จักหรือสร้างสังคมเพื่อการทำงาน “Networking” สำคัญกว่าที่เราคิด

“Networking” หรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับคนรอบตัว เพื่อประกอบการทำงานหรือการทำธุรกิจ เป็นสิ่งที่หลายคนที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรจะศึกษาและความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นนี้เอาไว้ 

 

Networking คือการที่เราออกไปพบปะผู้คนใหม่ ๆ ที่อยู่ในสังคมธุรกิจ หรือการทำงานเดียวกับเรา หรืออาจจะต่างออกไปเพียงแต่เราก็จะได้แลกเปลี่ยนความรู้ทางธุรกิจและการทำงานกับคนเหล่านั้น จริง ๆ แล้วการทำ Networking มีประโยชน์หลายอย่าง มันไม่ใช่เพียงแค่การเข้าสังคมธรรมดา แต่เป็นการเข้าสังคมเพื่อประโยชน์ในการต่อยอดทางสายอาชีพ หรือธุรกิจในอนาคตของตัวเราเอง

 

Networking ยังช่วยสร้างสังคมให้กับเรา ทำให้เมื่อเราต้องการขอความช่วยเหลือหรืออยากได้ความรู้ เรารู้ว่าเราควรจะต้องไปปรึกษาใคร อีกทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง เป็นการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองและความสามารถของตัวเองให้คนในวงการรู้อีกด้วย

 

วันนี้ CareerVisa จึงจะมานำเสนอเหตุผลว่า ทำไมเราจึงควรที่จะต้องมีการเข้าสังคมธุรกิจหรือการทำ Networking และมันให้ประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง

 

 

10 เหตุผล ทำไมเราถึงควรรู้จัก Networking หรือการเข้าสังคมเพื่อการทำงานและธุรกิจ

สร้าง Connection ทางธุรกิจใหม่ ๆ : เป็นที่รู้กันว่า Networking คือการนำตัวเองไปพบปะผู้คนใหม่ ๆ ไปพูดคุยและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้แน่นอนนั่นก็คือ Connection ใหม่ ๆ ที่มีประโยชน์ต่อเราในอนาคต

 

เป็นตัวช่วยหาแรงบันดาลใจ : การได้พบคนในแวดวงเดียวกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ ก็อาจจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้ว่าเราจะเดินทางชีวิตหรือต่อยอดตัวเองไปในรูปแบบไหน ไม่ว่าจะเส้นทางอาชีพหรือการทำธุรกิจ

 

มีตัวตนในสังคมมากขึ้น : เป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ กับคนที่คิดที่จะสร้างธุรกิจใหม่ หรือสร้างอะไรเป็นของตัวเอง การที่เราหาวิธีมีตัวตนในสังคม เป็นที่รู้จัก ก็จะทำให้เราสามารถกระจายธุรกิจของตัวเองให้เป็นที่รู้จักได้มากขึ้นเช่นกัน

 

สร้างโอกาสทางการงาน : หากใครที่กำลังอาจจะอยากหางานใหม่ หรือเติบโตในสายงานของตัวเองขึ้นไปอีก การได้รู้จักคนใหม่ ๆ การทำ Networking ก็ช่วยเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มากยิ่งขึ้น

 

ทราบข่าวสารรอบตัวมากขึ้น : เพราะ Networking คือการได้คุยกับคนหลาย ๆ คน การได้แลกเปลี่ยนกันแบบนี้ก็จะทำให้เราทราบข้อมูลรอบตัวมากขึ้น มีความรู้มากขึ้น ซึ่งมันก็จะเป็นประโยชน์กับเราและการทำงานของเราอย่างแน่นอน

 

ได้ข้อคิดข้อแนะนำในการทำงาน : Networking อาจจะทำให้เราได้เจอคนเก่ง ๆ หรือคนมีสามารถที่หลากหลาย เพราะฉะนั้นเป็นที่รับรองได้ว่าเราจะสามารถได้รับความรู้และข้อคิดมาปรับใช้กับการทำงานของตัวเองอย่างแน่นอน

 

สร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง : การได้เจอคนหลายคน ได้รู้เรื่องราวมากยิ่งขึ้น ย่อมทำให้เรามั่นใจที่จะทำงานของตัวเอง หรือต่อยอดธุรกิจให้กับตัวเองได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

 

ได้รับคำตอบในสิ่งที่ตัวเองสงสัย : เหมือนกับกบที่ออกนอกกะลา หากเรามีอะไรที่สงสัยแล้วลองได้แลกเปลี่ยนความคิดกับคนรอบตัว ก็อาจจะเจอคำตอบที่ถูกต้องหรือเหมาะสมที่สุดกับข้อสงสัยนั้น ๆ ก็เป็นได้

 

สร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนาน : หากเราเข้าสังคมหรือ Networking บ่อย ๆ เริ่มเจอคนหน้าเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ก็เหมือนการได้พัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบตัวให้เติบโตยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

 

ตามความฝันของตัวเองได้ : หากเรามีความฝันที่จะทำอะไร หรือสำเร็จในสิ่งใดสักอย่าง แต่ยังไม่มีคนให้ปรึกษา Networking ก็อาจจะช่วยคุณได้ เพราะเป็นโอกาสให้ได้เจอคนใหม่ ๆ รอบตัว และอาจจะเจอที่ปรึกษาที่ดีด้วยก็ได้

 

 

ลองเปิดใจ เปิดตัวเองให้มากขึ้น การเข้าสังคมหรือ Networking ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังได้ประโยชน์อีกหลาย ๆ อย่างอีกด้วย เพราะฉะนั้นลองดูกันนะ

 

 

อ้างอิง : https://www.indeed.com/career-advice/career-development/benefit-of-networking

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38