5 รูปแบบพนักงาน ที่มักจะโดนเพื่อนร่วมงานเกลียด

เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนในที่ทำงาน หรือคนรอบตัวแสดงความรู้สึกไม่ค่อยอยากทำงานกับเราสักเท่าไร มาลองเช็กว่ากำลังเป็นแบบนี้กันอยู่หรือเปล่า

ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะออกจากที่ทำงานหรือเกลียดเพื่อนร่วมงานรอบตัว ลองดูก่อนว่าเรากำลังเป็นพนักงานที่มีสไตล์ทำงานที่ทำงานกับคนอื่นได้ยากอยู่หรือเปล่า

วันนี้ CareerVisa จะมาเปิด 5 สไตล์การทำงาน ที่มีแล้วอยู่กับคนอื่นในออฟฟิศได้ยาก มาลองดูกันว่าเรากำลังเป็นคนที่มีสไตล์เหล่านี้หรือไม่

5 รูปแบบพนักงาน ที่มักจะโดนคนอื่นไม่ชอบ

🔺Perfectionist (คนที่ติดความสมบูรณ์แบบ)

ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ดีที่เราเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ แต่อย่าลืมว่าการความสมบูรณ์แบบมาพร้อมกับความคาดหวัง คนหลายคนที่รักความละเอียดเป็นชีวิตจิตใจมันจะออกแรงคาดหวังหรือกดดันคนรอบตัวโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจริง ๆ แล้วการเป็น Perfectionist ก็เป็นนิสัยที่ดีและช่วยให้การทำงานออกมาดีขึ้นได้ในหลาย ๆ ครั้ง เพียงแต่เราต้องเรียนรู้ความพอดี และไม่กดดันคนรอบตัวมากจนเกินไป

🔺Micromanager (คนที่ชอบควบคุมคนอื่น)

คนที่ชอบควบคุมคนอื่น หลายครั้งจะไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง มักจะทำงานช้า แต่คาดหวังให้คนอื่นทำได้ในแบบที่เราต้องการ พร้อมกับชอบไปยุ่ง หรือแก้ไขงานของคนอื่น นิสัยแบบนี้ไม่ใช่นิสัยหรือสไตล์การทำงานที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดีสักเท่าไร ถ้าหากรู้ว่าตัวเองกำลังชอบควบคุมคนอื่น อย่าลืมรีบปรับแก้ไข ก่อนที่จะไม่มีคนอยากทำงานด้วย

🔺Procrastinator (คนผลัดวันประกันพรุ่ง)

การเป็นคนที่ชิลในที่ทำงาน ไม่ได้รีบร้อน หลายครั้งก็ทำให้เราไม่กดดันใครรอบตัวและไม่กดดันตัวเอง แต่ระวังว่านิสัยความไม่ใจร้อนในการทำงานจะกลายเป็นการผลัดวันประกันพรุ่งโดยไม่รู้ตัว คนเหล่านี้มักจะชอบเลื่อนเดดไลน์ของงาน หรือไม่ยอมทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จสักที ซึ่งมักจะกระทบในส่วนงานของคนอื่น หรือทำให้คนรอบตัวที่ทำงานด้วยไม่สบายใจกับเราได้

🔺Slacker (คนขี้เกียจ)

การทำงานเป็นทีม คือการที่เราต้องช่วยเหลือกัน มีการแบ่งงานในสิ่งท่ีแต่ละคนถนัดอย่างเท่าเทียม เพราะฉะนั้นถ้าเรากำลังเป็นคนที่ผลักดันงานให้คนอื่น ไม่อยากเอางานมาทำ ขี้เกียจรับผิดชอบงานต่าง ๆ ก็อาจจะทำให้ทำงานกับคนอื่นได้ยาก นิสัยขี้เกียจเป็นนิสัยที่ส่งผลร้ายที่สุดในการทำงาน ทั้งกับตัวเองและคนอื่น สิ่งนี้อาจจะทำให้ทีมของเรามีผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร

🔺Negative Person (คนที่คิดลบตลอดเวลา)

คนที่คิดลบตลอดเวลา ชอบนินทาคนอื่น มองทุกอย่างรอบตัวในแง่ร้าย มักจะทำให้พลังบวกในการทำงานหายไป คนรอบตัวไม่มีกำลังใจในการทำงาน และทำให้สังคมการทำงานเป็นทีมเสีย ซึ่งถ้าหากเรารู้สึกว่ากำลังเป็นคนที่ขี้ร้ายนินทาคนอื่นหรือคิดลบอยู่ อย่าลืมรีบปรับแก้ไขก่อนที่จะติดนิสัย และทำให้คนรอบตัวตีตัวออกห่าง

นิสัยในการทำงานที่ไม่ดี หรือสไตล์การทำงานสามารถปรับเปลี่ยนหรือพัฒนากันได้อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นหมั่นสังเกตตัวเองและคนรอบตัว เพื่อปรับปรุงตัวเองและพัฒนาการทำงานร่วมกับคนอื่น

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38