8 วิธี “ลางาน”อย่างมือโปร บอกลาความรู้สึกผิด

ลางาน
อย่ารู้สึกผิดเมื่อต้องลางาน ต้องบอกก่อนว่าหลายคนมักจะรู้สึกผิดที่จะลางานไปทำธุระ หรือบางทีรู้สึกไม่สบายแต่ก็ไม่กล้าลางานเพราะไม่อยากให้คนอื่นมองว่าตัวเองไม่มีความรับผิดชอบ หรือกลัวว่าตัวเองจะไปเป็นภาระงานให้กับเพื่อนร่วมงานที่ต้องไปทำงานในวันนั้น ๆ

หลายคนเมื่อลางาน แต่ว่ามีความรู้สึกเกรงใจก็มักจะเปิดคอมตอนที่กดลางาน อย่างไรก็ตามการกระทำนี้ไม่ได้มีผลดี หรือไม่ได้ทำให้เพื่อนร่วมงานมองว่าเรามีความรับผิดชอบ แต่หลายครั้งกลับทำให้คนในที่ทำงานสับสนว่าสรุปแล้วเราลางานจริง ๆ หรือเราแค่ไม่อยากมาทำงาน

 

จริง ๆ แล้วนั้นการลางานไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าเราทำตามขั้นตอนทุกอย่าง กดลาอย่างถูกต้องตามระเบียบของที่ทำงาน เพียงแต่ว่าเราต้องลางานอย่างเหมาะสม และวางตัวให้ได้อย่างมือโปร มาดูกันว่ามีวิธีใดบ้าง

 

8 วิธี ลางานให้ได้อย่างมือโปร

 

ไม่สบายก็ควรลาป่วย

อย่าฝืนตัวเองไปทำงานหากรู้สึกไม่ค่อยสบายหรือทำงานไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น ถ้าหากเรารู้ตัวว่าไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ก็ควรจะลางานและให้เวลาตัวเองได้พักเพื่อทำให้ความพร้อมในการทำงานกลับมาเต็มที่เหมือนเดิม

 

หากมีเหตุผลด่วนที่ต้องลางาน ให้กล้าที่จะลา

อย่ามองข้ามเหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันในช่วงก่อนไปทำงาน เช่น ท้องเสีย รถติดจนทำให้ไม่สามารถไปทำงานได้ สภาพอากาศที่ไม่เอื้อกับการเดินทาง เป็นต้น หากเรามองว่าสิ่งเหล่านี้กระทบกับการไปทำงานของเรา ให้กล้าที่จะบอกหัวหน้าเพื่อขอลางานช่วงเช้า หรือขอไปสาย เพื่อรายงานสถานการณ์ความไม่สะดวกของตัวเอง

 

ลางานอย่างกระชับได้ใจความ

หากรู้สึกผิดที่จะต้องลาอย่าพยายามที่จะอธิบายจนยืดเยื้อ ให้อธิบายสั้น ๆ ได้ใจความถึงเหตุผลที่เราต้องลางาน ก่อนที่จะกดลาอย่างถูกระเบียบ บางทีการอธิบายอย่างมากมายอาจจะทำให้หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมทีมเข้าใจเนื้อความการลางานของเราผิดได้ และจะมองเราไม่ดีในเวลาต่อมา

 

อย่าห่วงการทำงานในตอนที่เราลางานอยู่

หากได้ทำการลางานไปแล้ว หรือกดลาในระบบไปแล้ว อย่าลืมที่จะให้เวลาตัวเองได้พัก หรือไปทำธุระของตัวเองอย่างเต็มที่ พยายามอย่าเปิดคอมหรือห่วงงานมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้คนอื่นมองว่าเราไม่ได้มีธุระ หรือไม่ได้ป่วยจริง ๆ แบบที่แจ้งลาไว้ก็ได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้สิทธิของตัวเองให้เต็มที่อีกด้วย

 

พยายามอย่าอัพเดทอะไรมากมายบน Social Media

การลางานที่เหมาะสมเราไม่ควรที่จะอัพเดทว่าเราทำอะไรอยู่ บางทีเพื่อนร่วมงานก็ไม่จำเป็นต้องรับรู้ชีวิตเราในยามที่เราลางานขนาดนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลางานคนอื่น หรือไม่ทำให้คนอื่นมองเราผิดไป ไม่ต้องอัพเดทชีวิตของเรา และลางานแบบเงียบ ๆ จะดีที่สุด

 

รับผิดชอบงานตัวเองก่อนที่จะลางาน

หากเรารับรู้ล่วงหน้าว่าต้องลางานช่วงไหน หรือมีการไปเที่ยวช่วงไหนเป็นระยะเวลานาน ๆ อย่าลืมที่จะเคลียร์งานของตัวเอง เพื่อทำให้ลางานได้อย่างสบายใจและไม่เป็นภาระของคนอื่น

 

รู้จักขอบคุณเมื่อต้องลางาน

หากมีคนที่ช่วยเหลืองานเราในระหว่างที่เราลางาน อย่าลืมที่จะขอบคุณเขา และพยายามหาเวลาที่จะตอบแทนในความช่วยเหลือเหล่านั้น เพื่อแสดงถึงน้ำใจและการเคารพความช่วยเหลือของคนอื่น

 

อย่าลาป่วยบ่อยจนเกินไป

ไม่ผิดที่เราจะลางานและลาป่วย แต่พยายามอย่าลาให้เป็นนิสัย ทั้งนี้ทั้งนั้นเราควรดูแลสุขภาพของตัวเอง และไม่ป่วยบ่อยมากจนเกินไป จนทำให้ความรับผิดชอบของเรา หรือประสิทธิภาพการทำงานของเราลดลง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38