Search
Search

Job Demotion – กลยุทธ์ที่หัวหน้ามองข้าม แต่อาจทำให้คนทำงานแฮปปี้ขึ้น

ปกติเวลาเราพูดว่า ต้องการทำให้องค์กร productive / creative / scalable ขึ้น กลยุทธ์มักโฟกัสไปที่การ “เพิ่ม” เข้าไปให้มากขึ้น ใหญ่ขึ้น ถี่ขึ้น เข้มข้นขึ้น โดยลืมไปว่า บางเรื่องอาจจะ Less is more ทำน้อยแต่ได้มาก…น้อยๆ แต่เน้นๆ อาจจะดีกว่า

Job Demotion หรือการ “ปรับลดตำแหน่งพนักงาน” เป็นกลยุทธ์ที่เข้าข่ายเรื่องนี้…ถูกลดเกรด แต่สุดท้ายกลับได้คุณภาพพรีเมียมขึ้น

 

สมัยก่อน คำนี้มักมีภาพลักษณ์ที่น่ากลัวเวลาได้ยินครั้งแรก และคนมัก assume ไปว่าพนักงานคนนั้นต้องไร้ศักยภาพ หรือองค์กรอยู่ในช่วงขาลงเลยต้องทำอะไรแบบนี้แน่เลย

 

แต่ถ้าเรามาดูรายละเอียดดีๆ บางทีอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด กลับกัน เป็นประโยชน์ win-win กับทุกฝ่ายมากขึ้นด้วยซ้ำ! โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ Job demotion หลายเคสมาจากความต้องการของตัวพนักงานเอง! เพราะต้องการ work-life balance ที่ดีขึ้น หรือตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ไม่คุ้มเสียกับสิ่งที่ต้องเสียต้องเสียแลกไป

 

คือ Talent คนนั้นอ่านเกมออก มองตัวเองขาด เพราะค้นพบว่าได้กำหนดลิมิตเพดานไว้เท่านี้ซึ่งเป็นจุดลงตัวที่สุดแล้ว (Equilibrium) ทั้งความรับผิดชอบ ความกดดัน สถานะ จนไปถึงรายได้ กล่าวคือ เจ้าตัวไม่อยากโตไปมากกว่านี้แล้วเพราะรู้ว่า “ยิ่งสูง-ยิ่งหนาว” ตำแหน่งยิ่งใหญ่โต ความรับผิดชอบยิ่งมากตาม ความเครียดทวีคูณ เวลาว่างกับครอบครัวน้อยลง ชีวิตมีแต่งาน งาน งาน แม้ผลตอบแทนจะสูงขึ้น…แต่ก็มองว่าไม่คุ้มค่าที่จะแลก

 

ในมุมหนึ่ง Job demotion ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นเหมือนการถอยกลับมาหนึ่งก้าว…เพื่อก้าวกระโดดต่อไปในอนาคต เป็นการเปลี่ยน Talents คนใหม่มาแทนที่ที่มีความเหมาะสมกว่า Put the right man on to the right job 

 

และถือเป็นการปกป้องบริษัทไปในตัว เพราะเหตุผลยืนหนึ่งของ Job demotion ค่อนข้างตรงไปตรงมา นั่นคือ Talents ในทีมคนนั้น perform ได้ไม่ดีเท่าที่คาดหวัง เช่น ทำยอดขายไม่เข้าเป้า ปิดดีลลูกค้าไม่ได้ หรือมีข้อผิดพลาดใหญ่เกิดขึ้นในโปรเจคท์ที่สร้างผลกระทบตามมา

 

  • เช่น พนักงานด้าน Creative เน้นหัวครีเอทีฟและการไม่อยู่ในกรอบ ที่กระโดดข้ามสายเติบโตไปเป็น Strategist เน้นวางแผนคิดวิเคราะห์ คำนวณตัวเลขอย่างรอบคอบ…อาจพบว่าตัวเองทำได้ไม่ดี ไม่ใช่สายที่ถนัด ถ้ามองในระยะยาว การถูก Job demotion กลับไปเป็น Creative และพัฒนาสกิลจนสุดทางนี้เพื่อไปเป็น Art director อาจจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ

 

และเพื่อป้องกันความบาดหมางกัน หัวหน้าต้องแจกแจงดีเทลอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้ว่า Job demotion ที่เกิดขึ้น จะมีประโยชน์ส่งผลดียังไงต่อคนที่ถูกลดตำแหน่ง

 

  • เช่น มีเวลากลับมา review ทบทวนตัวเองจริงๆ จังๆ ว่านี่คือเส้นทางอาชีพที่ชอบและถนัดหรือไม่
  • เมื่อความรับผิดชอบน้อยลง จึงมีเวลาว่างมากขึ้น ก็สามารถนำไป upskill-reskill ในส่วนที่ขาด จนไปถึงค้นหา passion ใหม่ๆ นอกงานประจำก็ยังได้ด้วยซ้ำ

 

ไม่ว่ายังไงก็ตาม ในขั้นตอนการทำ Job demotion หัวหน้าต้องทำแบบประณีต ละเอียดอ่อน สุภาพ ถ่อมตน มืออาชีพ มี empathy ใจเขาใจเรา ให้คิดเสมอว่าถ้าเป็นตัวเราบ้างล่ะที่โดน…จะอยากถูกปฏิบัติอย่างไร?

 

หัวหน้าอย่างเราเองก็มีสิทธิ์โดนเช่นกันจากคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าขึ้นไปอีกที โดยในช่วงปีโควิด มีผลวิจัยในองค์กรกว่า 1,000 แห่งพบว่า Job demotion เกิดขึ้นกับพนักงานกว่า 18% และเป็นระดับบริหารไม่น้อยเลย โดยแบ่งเป็น

  • 38% Senior Management
  • 20% Middle Management
  • 28% Executive

 

จะเห็นว่าจากเดิมที่ Job demotion มีแต่เรื่องลบๆ ถ้าเราทำอย่างประณีตคิดรอบคอบ ก็มีด้านบวกที่ดีกับทุกฝ่ายเช่นกัน

 

อ้างอิง



Author

  • CareerVisa Team

    รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

ทำงานเยอะ ไม่อยากเสียสมดุลชีวิต มาลองทำตามวิธีเหล่านี้

เชื่อว่าหลายคนต้องประสบพบเจอปัญหา “ทำงานหนักจนไม่มีเวลาชีวิต” บางคนไม่ได้ทำงานแค่ 5 วัน แต่ยังต้องเอางานที่ทำไม่เสร็จมาทำเสาร์อาทิตย์อีก แล้วสุดท้ายวันหยุดของเราอยู่ไหนกัน?

5 รูปแบบพนักงาน ที่มักจะโดนเพื่อนร่วมงานเกลียด

เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนในที่ทำงาน หรือคนรอบตัวแสดงความรู้สึกไม่ค่อยอยากทำงานกับเราสักเท่าไร
มาลองเช็กว่ากำลังเป็นแบบนี้กันอยู่หรือเปล่า

จัดการปัญหา แก้ไขทุกวิกฤติด้วย Fink’s Crisis Management Model

ชีวิตการทำงานของทุกคนคงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ยิ่งต้องทำงานร่วมกับหลายฝ่าย หลายทีม ยิ่งมีปัญหาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้การตั้งรับวิกฤติที่จะเกิดขึ้น และผ่านมันไปให้ได้เสมอ