เจอ “คน Toxic” คนเดียว จัดการอย่างไรไม่ให้คนอื่นลาออกตาม?

คน Toxic
เราคือผลลัพธ์ค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่เราแวดล้อมใช้เวลามากที่สุดการทำงานในองค์กรก็เช่นกัน คุณภาพพนักงานคือค่าเฉลี่ยของเพื่อนร่วมทีม ถ้าเพื่อนร่วมงานนิสัยเสีย ไม่มีศักยภาพ พนักงานด้วยกันเองก็ไม่เห็นแววเติบโต ไม่ได้เรียนรู้เติบโตพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นไปด้วยกัน สุดท้ายก็ขอ “ลาออก” ไปทำที่อื่นดีกว่า

องค์กรขับเคลื่อนด้วยคน ถ้ามีคนแบบนี้องค์กรจะโตไปข้างหน้าแบบสตรอง ยั่งยืน และสง่างามได้อย่างไร?

จังหวะนี้เองคือโอกาสแสดงบทบาทของ “หัวหน้าน้ำดี” ที่เก่ง มีศักยภาพ และหวังดีต่อลูกทีมเพื่อป้องกันการลาออก หัวหน้าน้ำดีมีบทบาทอย่างมากในการช่วยลดปัญหานี้เพื่อป้องกันระยะสั้นและยาวไม่ให้พนักงานคนอื่นๆ ทยอยยื่นใบลาออก 

ในงานศึกษาของ Harvard Business Review พบว่า 54% ของพนักงานน้ำดีเลือกลาออก เพราะพฤติกรรมที่เป็นพิษ (Toxic Behavior) ของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งไม่ใช่แค่ความรุนแรงทางกายหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการไม่ให้ความร่วมมือในทีม การแสดงพฤติกรรมเย้ยหยัน และการส่งต่อข่าวลือที่บั่นทอนกำลังใจในทีม

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานยังระบุว่า 70% ของผู้นำองค์กรรู้สึกว่า “วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นพิษ” เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การดำเนินงานไม่ราบรื่น การที่หัวหน้าและองค์กรไม่สามารถรับมือกับพฤติกรรมของพนักงานน้ำเสียได้ อาจทำให้พนักงานน้ำดีรู้สึกหมดกำลังใจ เนื่องจากเห็นว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้

 

แต่ก่อนอื่น เราไปดูกันก่อนว่า…ทำไมลูกน้องน้ำเสียถึงมีอิทธิพลขนาดนั้นถึงขั้นทำให้พนักงานคนอื่นมีสิทธิ์ยื่นใบลาออกได้?

พฤติกรรมแพร่ระบาดกันได้

ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ นิสัยการกระทำของพนักงานน้ำเสียสามารถ “แพร่ระบาด” ไปยังคนอื่นได้เสมือนเชื้อไวรัส ผ่านปฏิสัมพันธ์ทุกรูปแบบตั้งแต่ การแต่งตัวที่ไม่ให้เกียรติสถานที่และบริบท (มองเห็น) หรือ น้ำเสียงกิริยาวาจาที่พูดจาก้าวร้าว (ได้ยิน) 

จากพฤติกรรมพนักงานน้ำเสีย 1 คน สามารถแพร่ระบาดใส่พนักงานน้ำดีคนอื่น และถึงขั้นเทิร์นเปลี่ยนให้กลายเป็นพวกเดียวกันได้ เป็นการเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว (Subconsciously mimic)

ที่อันตรายคือ อาจกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรที่ไม่พึงประสงค์ จนชวนพนักงานน้ำดีเก่าๆ ลาออก หรือแคนดิเดตหน้าใหม่ก็ไม่มีใครอยากร่วมงานด้วย

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาจนำไปสู่บรรยากาศในออฟฟิศที่น่าเวทนา เพื่อนร่วมทีมเริ่มขาดความไว้วางใจแก่กัน การทำงานไม่ราบรื่น และสุดท้าย “ความสุข” ในการทำงานที่ดำดิ่ง

รู้ตัวอีกที…อ้าว เราเองก็เริ่มมีนิสัยเหมือนคนที่เราไม่ชอบซะแล้ว!

สิ่งที่หัวหน้าน้ำดีควรทำ

แน่นอนว่า วิธีที่ง่ายชนิดตัดบทจบที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานน้ำดีทยอยลาออกไปก่อน คือการใช้อำนาจเท่าที่มีในการไล่พนักงานน้ำเสียคนนั้นออกซะ! 

แต่การทำแบบนี้อาจสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมที่ไม่น่าอภิรมย์ขึ้นมาเช่นกัน เพราะเป็นการใช้ความกลัวเข้าครอบงำเกินไป พนักงานน้ำดีก็อาจกลัวว่า ตัวเองจะตกเป็นจำเลยในอนาคตรึเปล่า ถ้าเผลอทำอะไรผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ จึงมีโซลูชั่นอื่นที่ค่อยๆ ไต่ระดับขั้นความรุนแรง

อันดับแรกคือ “ทัศนคติ” หัวหน้าน้ำดีต้อง recognize ตระหนักรู้ถึงปัญหานี้เข้าไปในใจให้ได้ก่อน อย่ามองว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล เพราะบริษัทโตได้ด้วยคนเก่งในองค์กร แต่ถ้าคนเก่งรู้สึก Toxic จากเพื่อนร่วมงานก็อาจลาออกไปกลางคัน หัวหน้าจึงมีบทบาทตามหน้าที่ที่ต้องลงมาแก้ปัญหากับตัว ทัศนคติยังมาพร้อม Growth mindset เชื่อในศักยภาพของคนเราว่าเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมได้ พนักงานน้ำเสียก็สามารถเปลี่ยนเป็นพนักงานน้ำดีได้

อีกเทคนิคคือการ Put the right man to the wrong job เป็นเทคนิคระยะสั้นที่ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมไปในแนวทางที่ต้องการได้ เพราะคนเราไม่ได้เก่งทุกเรื่อง เมื่อถูกส่งไปทำงานที่ไม่ใช่ จะได้สัมผัสอีโก้ตัวเอง ความรู้สึกผิดพลาด ความไม่สมบูรณ์แบบ การไหว้วานขอความช่วยเหลือ จนเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ใจเขาใจเรา

ออกจะเป็นวิธีในอุดมคติไปบ้าง แต่เพราะการเปลี่นแปลงที่ยั่งยืนที่สุดคือการให้เจ้าตัวตระหนักรับรู้และเริ่มเปลี่ยนแปลงจากข้างในด้วยตัวเอง 

นอกจากนี้ การไม่โปรโมทขึ้นตำแหน่งหรือปฏิเสธการเพิ่มเงินเดือนแบบโจ่งแจ้ง โดยให้เหตุผลเรื่องพฤติกรรมน้ำเสียต่างๆ ที่ต้องแก้ให้ได้ก่อน ก็เป็นวิธีสร้างเงื่อนไขที่สมเหตุสมผลและเป็นที่ยอมรับได้ และเป็นกลไกที่ผลักดันให้พนักงานน้ำเสียอาจตัดสินใจลาออกไปเอง

ไม่ต่างจากการทำโปรเจคท์ การสร้างเงื่อนไขด้านกรอบเวลาขึ้นมา เช่น ให้เวลา 1 เดือนพิสูจน์เปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็เป็นการกดดันเชิงบวกที่วัดผลได้ว่าเจ้าตัวอยากจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไหม และเปลี่ยนได้มากน้อยแค่ไหน

อีกวิธีที่เวิร์คในระยะยาวแต่กระอักกระอ่วนไปบ้างสำหรับพนักงานน้ำดีที่ไม่ชอบการเผชิญหน้า คือ การเรียกรวมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งพนักงานน้ำดี VS. พนักงานน้ำเสีย มาพูดคุยแบบเปิดอก โดยมีหัวหน้าคอยดูแลประเด็นอย่างใกล้ชิด 

เนื่องจาก ปัญหาส่วนใหญ่แก้ได้ด้วยการพูดคุยกัน เพื่อค้นหาว่า root cause ของปัญหามาจากไหน พนักงานน้ำเสียมีพฤติกรรมไม่ดีอย่างไร กระทบจิตใจและคุณภาพงานคนอื่นอย่างไร พร้อมโซลูชั่น 1-2-3-4 ที่นำไปสู่การพัฒนา

สุดท้ายแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานน้ำดีส่วนใหญ่ลาออกไปก่อน การเชิญออก อย่างมีเหตุผลก็ยังเป็นหนึ่งในโซลูชั่นของหัวหน้า 

แม้การหาพนักงานใหม่จะยากและมีต้นทุนสูงกว่ารักษาพนักงานเก่า แต่เคสนี้มักคุ้มค่ากว่าในระยะยาว และเป็นผลดีต่อส่วนรวมคนอื่นในองค์กรด้วย…ก่อนที่พนักงานน้ำดีจะทยอยยื่นใบลาออกนั่นเอง

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Laura Vanderkam
ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” อีกต่อไปถ้าคุณมี Mindset แบบนี้ โดย Laura Vanderkam นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา
สรุปวิธีคิดที่จะทำให้คุณ “มีเวลา” สำหรับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยลอรา แวนเดอร์แคม (Laura Vanderkam) นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา ผู้บรรยาย TED Talk ที่มียอดวิวหลายล้าน...
Vacation Blues
10 เคล็ดลับ "Bounce Back" สลัดอาการ "Vacation Blues" ให้หายเป็นปลิดทิ้ง!
อาการ “Vacation Blues” หรือความเศร้าหลังไปเที่ยวหยุดยาว เป็นอาการปกติที่เล่นงานคนทำงานอย่างหนักอึ้ง ซึ่งเกิดขึ้นกับคนทำงานหลายคนโดยเฉพาะช่วงหยุดยาว อย่างไรก็ตามการจมกับความเศร้าหลังเที่ยวไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก...
Harvard Business Review
ผลสำรวจพบเทรนด์ใหม่คนทำงาน เลือกใช้ AI ดูแลจิตใจแซงการทำงาน โดย Harvard Business Review
งานวิจัยจาก Harvard Business Review เพิ่งออกมา มีผลสำรวจพบว่าคนทำงานเปลี่ยนการใช้ AI จากเครื่องมือทำงาน มาเป็น “เพื่อนคู่ใจ” แทน สิ่งที่เปลี่ยนไปในปี...