ลาออกเพราะ Toxic Boss เรื่องจริงที่ผู้บริหารรู้แต่ไม่แก้

คนทำงานมาซักพัก น่าจะพอทราบดีว่า เหตุผลที่แท้จริงของการลาออก ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน...ก็คือเรื่อง คน! ซึ่งส่วนใหญ่อาจเทน้ำหนักไปสาเหตุหลังด้วยซ้ำ และบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในออฟฟิศบริษัทก็คือ "หัวหน้างาน" ของแต่ละทีมกันเอง

แม้เจ้าตัวอาจไม่ได้ตั้งใจหรือไม่รู้ตัว แต่หัวหน้างานแบบนี้เข้าข่าย Toxic Boss เป็นมลพิษต่อทีม และชวนให้พนักงานต่างพากันลาออกยกขบวน

 

งานว่าเหนื่อยแล้ว…เจอคนเหนื่อยกว่า โดยเฉพาะกับ Toxic Boss ผู้ทรงอิทธิพล เพราะหัวหน้ามีพาวเวอร์ตามตำแหน่ง และอาจเป็นคนที่มีผลงานโดดเด่นเข้าตาจนผู้บริหารระดับสูงไม่กล้าทำอะไร

 

แล้วเหตุผลที่พนักงานยอมลาออกเพราะ Toxic Boss มีอะไรกันบ้าง?

 

ไม่เห็นหัวลูกทีม

 

เชื่อว่าคนทำงานทุกคนอยากได้รับ respect การเคารพยอมรับจากผู้อื่น เวลาทำดีเราก็อยากได้รับคำชมบ้างเป็นธรรมดา ผลวิจัยเผยว่าหัวหน้าที่ชมลูกน้องบ่อยๆ และมองเห็นความดีเล็กๆ น้อยๆ จะสร้างบรรยากาศที่ดี ลูกทีมมีความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น และความสุขในการทำงาน

 

แต่สำหรับ Toxic Boss มักมองข้ามความสามารถลูกน้องไป หรือแกล้งทำเป็นไม่เห็นหัว เรียกว่า ignore แบบโจ่งแจ้งก็ว่าได้

 

ลูกน้องทำถูกแค่ไหนไม่เคยได้รับคำชม ถูกบอกปัดว่าเป็นเรื่องปกติมาตรฐานที่ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว แต่พอทำผิดนิดเดียว กลับถูกด่าต่อว่าวิพากษ์วิจารณ์ทุกจุดราวกับทำความผิดร้ายแรง นี่ก็เป็นความเสียหายที่สร้างผลกระทบทางจิตใจและความ Toxic ไม่น้อยจนลูกทีมอยากลาออก

 

การเมืองภายในทีม



ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ การเมืองจึงเกิดขึ้นได้ทุกที่โดยเฉพาะกับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกหลายคน

 

การเมืองภายในทีม มักเริ่มมาจากคนที่มีพาวเวอร์อย่างหัวหน้า ที่เลือกที่รักมักที่ชัง สถาปนาเด็กเส้นของตัวเอง เลือกศัตรูหรือคู่แข่งอย่างโจ่งแจ้ง หรือแค่ถูกจริตกับอุปนิสัยหรือหน้าตาของลูกทีมบางคนจนปฏิบัติแบบ bias กับสมาชิกทีมคนอื่นจนยอมแพ้ด้้วยการลาออก หรือเลือกทำ Quiet Quitting ไปเลย

 

แน่นอนว่า การเมืองภายในทีมนำมาสู่การปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

  • หาข้ออ้างปกป้องลูกทีมเด็กตัวเองที่ทำผิดพลาด
  • ไม่ลงโทษคนทำผิดที่เป็นเด็กเส้นตัวเองแม้จะจำนนต่อหลักฐาน
  • ไม่ให้ความร่วมมือในการทำงานกับคนที่ไม่ถูกโฉลก

 

สมาชิกทีมย่อมมีบางคนที่ทำตัวเป็นตัวกลาง พยายามไม่เข้าไปยุ่งการเมืองกับใคร และเป็นคนกลุ่มนี้เองที่มักจะลาออกก่อนใครเพื่อนเพราะทนไม่ไหวกับสภาพแวดล้อมสุด Toxic นี้

 

ไม่ให้เครดิต

 

ในการทำงานไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ทุกคนทำงานกันเป็น “ทีม” ไม่มีใครทำงานไหนด้วยตัวคนเดียวได้ โดยเฉพาะหัวหน้าที่อยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการในการสั่งงาน ไม่ใช่มดงานที่ลงมือปฏิบัติจริงที่หน้างาน 

 

ผู้นำที่ดีมักจะ รับผิด-รับชอบ ออกตัวปกป้องลูกน้อง และโยนความชอบเครดิตดีๆ ให้ลูกน้อง 

 

แต่กับ Toxic Boss มักมีคาแรคเตอร์ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง โปรเจคท์ไหนที่ประสบความสำเร็จมักออกหน้าว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือตัวเองในฐานะผู้นำทีม แต่โปรเจคท์ล้มเหลวมักจะโยนความผิดให้ลูกน้องว่าไม่เอาไหน หรือหาข้ออ้างถึงความยากลำบากในการบริหารทีมงาน พอเจอแบบนี้บ่อยๆ เข้า การลาออกก็กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้นมาทันที

 

กดดันเป็นงานหลัก

 

Toxic Boss มักมาพร้อม “Toxic Mindset” เช่น ชุดความคิดบางประเภทที่ดูไม่แมตช์กับโลกการทำงานยุคปัจจุบันเท่าไรนัก เช่น

  • “สำเร็จแล้วอย่าชม เพราะเดี๋ยวจะเหลิง”
  • “ลูกน้องมีไว้เฆี่ยน เคี่ยวเข็ญ เพื่อให้เติบโต”
  • “ถ้าหัวหน้ากดดัน แสดงว่ายังเห็นค่าลูกน้องคนนี้”

 

ทัศนคติแบบนี้ บ่งบอกว่าหัวหน้าไม่ได้เข้าใจ คาแรคเตอร์ของผู้คนที่มีหลากหลายเลย เพราะคนเราบางคนอดทนกับความกดดันได้ดี เฆี่ยนนิด ต่อว่าหน่อย ได้ผลลัพธ์ที่ดี

 

แต่สำหรับคนทำงานอีกหลายคน ต้องการได้รับคำพูดคำจาที่ soft สุภาพ เชิงบวก มีกำลังใจ การสร้างความกดดันที่เกินเลยและไม่จำเป็นนี้ กลับให้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีและบั่นทอนกำลังใจในการทำงานจนอยากลาออก

 

ด่วนตัดสินใจ

 

เพราะคาแรคเตอร์ของ Toxic Boss คือการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง มองโลกตามมุมมองและประสบการณ์ของตัวเองล้วนๆ จึงมาพร้อมการ ด่วนตัดสินคน (Snap judgement) ในเวลาอันรวดเร็ว 

 

คนทำงานหลายคนทราบดีว่ารู้สึกอึดอัดแค่ไหน ที่ถูกด่วนตัดสินเร็วเกินไป โดยเฉพาะถ้าคำตัดสินนั้นเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ตรงกับความจริงที่เกิดขึ้น ซ้ำร้ายไปอีก เพราะหัวหน้าคือคนมีพาวเวอร์ เมื่อด่วนตัดสินผิดๆ จึงอาจสร้างกรอบการทำงานมาตรฐานต่ำๆ หรือการมอบงานโปรเจคท์ที่ไม่ท้าทาย ลูกน้องตกอยู่สภาพจำยอม และไม่นานนักก็มักลาออกแก้ปัญหา

 

ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของ Toxic Boss เป็นเรื่องจริงที่ผู้บริหารบางคนไม่กล้ายอมรับหรือไม่อยากลงมาแก้ปัญหาที่ฝังรากลึก จนทำให้อัตราการลาออกของพนักงานสูงลิบ สำหรับเคสนี้ แนวทางแก้ปัญหาต้องอยู่ที่ตัว Toxic Boss ไม่ว่าจะเข้ารับโปรแกรมการเปลี่ยนพฤติกรรม หรือ…หาหัวหน้าน้ำดีคนใหม่เข้ามาแทน ปลดล็อคที่หัว เพียงเท่านี้ อัตราลาออกก็น้อยลงได้ ที่สำคัญ พนักงานทำงานแบบมีความสุขขึ้นด้วย

 

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Laura Vanderkam
ไม่มีคำว่า “ไม่มีเวลา” อีกต่อไปถ้าคุณมี Mindset แบบนี้ โดย Laura Vanderkam นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา
สรุปวิธีคิดที่จะทำให้คุณ “มีเวลา” สำหรับสิ่งสำคัญในชีวิต โดยลอรา แวนเดอร์แคม (Laura Vanderkam) นักเขียนชื่อดังด้านการจัดการเวลา ผู้บรรยาย TED Talk ที่มียอดวิวหลายล้าน...
Vacation Blues
10 เคล็ดลับ "Bounce Back" สลัดอาการ "Vacation Blues" ให้หายเป็นปลิดทิ้ง!
อาการ “Vacation Blues” หรือความเศร้าหลังไปเที่ยวหยุดยาว เป็นอาการปกติที่เล่นงานคนทำงานอย่างหนักอึ้ง ซึ่งเกิดขึ้นกับคนทำงานหลายคนโดยเฉพาะช่วงหยุดยาว อย่างไรก็ตามการจมกับความเศร้าหลังเที่ยวไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก...
Harvard Business Review
ผลสำรวจพบเทรนด์ใหม่คนทำงาน เลือกใช้ AI ดูแลจิตใจแซงการทำงาน โดย Harvard Business Review
งานวิจัยจาก Harvard Business Review เพิ่งออกมา มีผลสำรวจพบว่าคนทำงานเปลี่ยนการใช้ AI จากเครื่องมือทำงาน มาเป็น “เพื่อนคู่ใจ” แทน สิ่งที่เปลี่ยนไปในปี...