โตขนาดนี้แล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอ ไม่ต้องกังวล!

หลายคนอาจจะกำลังสับสนในชีวิตตัวเองว่า จริง ๆ แล้วเราชอบอะไรกันแน่ หรืออะไรที่เหมาะสมกับเราที่เราทำได้ดี ไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะตามหาตัวเองเจอได้ไวแบบใจคิด เพียงแต่ว่าถ้าหากเราอยากได้ตัวช่วย ลองทำตามสเต็ปเหล่านี้ดู

การตามหาตัวเอง สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้ตัวเองเร็ว และการรู้ตัวเองช้าก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพียงแต่ว่าถ้าหากเราปล่อยชีวิตตัวเองไปวัน ๆ แบบไม่มีแบบแผน มันก็อาจจะทำให้ความเป็นตัวเองหาเจอได้ยากขึ้น เพราะงั้นเราจึงต้องมีตัวช่วย ที่จะทำให้เราตามหาตัวเองเจอได้ง่ายขึ้น

 

ยิ่งกับวัยทำงาน หรือคนที่อยากริเริ่มทำอะไรเป็นของตัวเอง การหาความเป็นตัวเองหรือรู้ตัวเองว่าเราทำอะไรได้ดีค่อนข้างจะเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหากเรายังติดขัดเรื่องนี้อยู่ ลองทำใจเย็น ๆ และหาตัวช่วยกันดู

 

วันนี้ CareerVisa จะมาเปิดขั้นตอนการหาตัวเอง ที่จะทำให้คุณพบเจอกับสิ่งที่ใช่สำหรับเราได้ง่ายขึ้น มาลองดูกัน

 

หากยังหาตัวเองไม่เจอ ลองทำตามสเต็ปเหล่านี้ดู

 

เข้าใจอดีตที่ผ่านมาของตนเอง

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะมีอดีตในชีวิตที่ดี และไม่ดี เพียงแต่เราต้องทำความเข้าใจว่าเราผ่านจุด ๆ นั้นมาได้อย่างไร ถ้าหากมีปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ให้ทำความเข้าใจว่าตอนนั้นเราแก้ไขมันอย่างไร และทำความเข้าใจว่าสิ่งใดทำให้เราประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน หากเราสามารถเข้าใจอดีต เราก็จะรู้ว่าลิมิตของเราคืออะไร ข้อดีข้อเสียที่เคยเกิดขึ้นของตัวเองมีอะไรบ้าง

 

หาความแตกต่างของตัวเองให้เจอ

ลองเขียนดูว่าเราแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร ทั้งแตกต่างในทางที่ดี และในทางที่ไม่ดี เพื่อดูว่าจุดเด่น และจุดด้อยของเรามีอะไรบ้าง และความปรับแก้หรือพัฒนาตัวเองไปในด้านไหน

 

หาความหมายของทุกอย่างที่เราทำ

อย่าทำอะไรไปโดยไม่มีความหมายหรือเป้าหมาย ให้หาให้เจอว่าเราทำสิ่ง ๆ หนึ่งไปเพื่ออะไรและทำไมต้องทำสิ่งนั้น เพื่อที่เราจะได้วางแผนและรู้ว่าควรให้ความสำคัญหรือคุณค่ากับสิ่งที่ทำแค่ไหน

 

นึกถึงความต้องการของตัวเองให้ชัดเจน

หาว่าเราต้องการอะไรในชีวิต มีเป้าหมายหรือความสำเร็จอะไรที่อยากไปให้ถึง ก่อนที่จะวางแผนในส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่จะทำ หรือสิ่งที่จะทำ ทุกอย่างนี้ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจตัวเองและทำสิ่งต่าง ๆ ออกมาอย่างมีแรงผลักดันมากยิ่งขึ้น

 

ตระหนักถึงจุดเด่นหรือพลังของตัวเอง

รู้ตัวเองว่าเรามีอะไรดี และใช้มันให้ถูกวิธี หากเราค่อย ๆ หาตัวเองไปเรื่อย ๆ ลองผิดลองถูกจนเจอสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด นั่นแหละคือความเป็นตัวของเรา คือจุดที่เราทำได้ดี

 

เก็บอารมณ์ให้เป็น

อย่าปล่อยความไม่พอใจ หรือความหงุดหงิดใจออกมาจนหมด ให้ทำทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลมากกว่าอารมณ์ หลายครั้งที่อารมณ์จะทำให้เราลืมโฟกัสของตัวเอง และหาตัวเองเจอได้ช้าขึ้น

 

ทำตัวเองให้ใจกว้าง

เปิดใจรับสิ่งต่าง ๆ ให้มาก ทำอะไรหลาย ๆ อย่างเพื่อตามหาตัวเอง เราไม่มีทางรู้ว่าเราชอบอะไรมากที่สุด หากเราไม่ยอมลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างให้ได้มากที่สุด

 

ให้ความสำคัญกับมิตรภาพหรือสังคม

การที่ได้เข้าสังคม หรือคุยกับเพื่อนเพื่อแลกเปลี่ยนความสนใจหรือตามหาว่าเราคุยเรื่องไหนแล้วสนุก ก็เป็นอีกอย่างที่จะทำให้เจอตัวเองได้ง่ายขึ้น ถ้าเราไม่ได้ลองเปิดใจฟังหรือรับความรู้ใหม่ ๆ ก็อาจจะไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เราชอบอยู่มากมายก็เป็นได้

 

 

การหาตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก ให้เปิดใจให้มาก และให้เวลากับตัวเอง

 

อ้างอิง : https://www.psychalive.org/finding-yourself/

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38