HR ไม่ใช่ “ถังขยะ” มีอะไรก็เอามาโยนใส่ !

หลายคนมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ HR (Human Resources) โดยมักคิดว่า HR มีหน้าที่เพียงแค่สรรหาและจ้างงาน หรือแก้ปัญหา"หน้างาน"ให้พนักงานเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว HR มีบทบาทหลากหลาย เช่น การดูแลพนักงาน การพัฒนาทักษะ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน รวมถึงจัดการเรื่องผลตอบแทนและสวัสดิการ นอกจากนี้ HR ยังมีบทบาทสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์องค์กร การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง และช่วยพนักงานมีส่วนร่วมในการเติบโตของบริษัท

กริ๊งๆๆ (เสียงโทรศัพท์ดัง) 

Manager: “เอ้อเคน ทีมพี่ต้องการน้อง Content เพิ่ม 1 คน เดี๋ยวช่วยหาคนให้หน่อยนะ เอาภายในสิ้นเดือนนี้”

HR: “ได้ครับพี่”

(วางสาย)

แต่ไหนแต่ไร Human Resources มักถูกมองด้วยจริตแบบผู้ให้บริการ-ผู้สนับสนุนทีมต่าง ๆ ในองค์กร มากกว่าจะเป็นแผนกที่สร้างการเติบโตไปข้างหน้า..

จนถึงถูกสบประมาทว่าเป็น “Call Center” (และ Cost Center) ผู้รับสายเมื่อมีปัญหาหรืออยากได้อะไรก็มาถาม แต่พอคิดจะทำอะไรการใหญ่กลับไม่เคยสนใจ

นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานดีๆ จู่ๆ ผู้บริหารก็เดินมาสั่งโดยไม่อธิบายให้ฟังด้วยซ้ำว่า Direction ทิศทางของบริษัทจะไปทางไหน หรือ รับ Content มาให้ทำอะไร ? โปรโมทผลิตภัณฑ์ตัวไหนของบริษัทกันแน่ ?… ถูกปฏิบัติราวกับ ‘ถังขยะ’ ที่มีอะไรก็เอามาโยนใส่

มันมีที่มาที่ไปที่ทำให้ Mindset นี้ถูกฝังรากลึก เศรษฐกิจประเทศไทยพัฒนามาได้จนถึงปัจจุบันเพราะมีรากฐานมาจากการเป็น “ฐานการผลิต” (Manufacturing Base) ให้กับบริษัทข้ามชาติมาตั้งแต่ช่วงปี 1980s ซึ่งมีข้อได้เปรียบจากการขายแรงงานราคาถูก มุมมองของนายจ้าง-เจ้าของโรงงาน-ผู้ประกอบการ จึงมองคนแบบ “ลดต้นทุน” ไว้ก่อน ไม่ได้มุ่งเน้นที่การพัฒนาศักยภาพคน

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นทัศนคติที่ต้องถูกท้าทายในยุคสมัยใหม่…

เพราะถ้า Talent คือกลุ่มคนที่ดูแลบริษัทให้เติบโตก้าวหน้า…HR คือคนที่ดูแล Talent เหล่านี้อีกทีหนึ่ง!

Human Resources ไม่ใช่ Call Center ประจำบริษัท…แต่สร้าง “กำไร” ให้องค์กรได้มากกว่าที่คุณคิด!

แก่นในการสร้างกำไรของ Human Resources มีอยู่ 2 เรื่อง

1. HR มีส่วนทำให้คนมีประสิทธิภาพสูงสุด (Maximize Human Capability)

Human Resources ต้องทำตัวเป็น Change Agent กล้าที่จะทดลองหาเครื่องมือ-วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาคนมาใช้

แต่คงไม่สามารถไปสอนงานพนักงานในแต่ละแผนกได้ เพราแต่ละคนก็เชี่ยวชาญลงลึกคนละแบบ…แต่สามารถซัพพอร์ตเปิดพื้นที่ให้พนักงาน ‘ดึงศักยภาพ’ ของตัวเองออกมาได้มากขึ้น

ผ่าน “กลไก” ต่างๆ ที่ตัวเองมีอำนาจเต็มที่ในการออกแบบริเริ่ม 

ไม่ว่าจะการจัด Knowledge Sharing Session ขึ้นมา เช่น ถ้าองค์กรมีพนักงานหลากหลายเจน (Multi-Generational Workforce) ก็ให้พนักงานต่างเจนหมุนเวียนขึ้นมาแชร์ความรู้มุมมองการทำงานในเรื่องต่างๆ และให้ผู้เข้าร่วมฟีดแบคไอเดียมาทีหลังว่า เอาความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับงานตนอย่างไรได้บ้าง

Human Resources สามารถคิดการใหญ่และจัดทำ Internal Hackathorn เป็นประจำขึ้นภายในบริษัท นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทีม HR ของ Google ปฏิบัติกับพนักงานมาช้านาน จนนำไปสู่นวัตกรรมที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าจะ Gmail และ Google Maps

หรือการจัดโค้ชชิ่งเพื่อพัฒนาผลงาน (Performance Coaching) เป็นระยะ ให้พนักงานได้พัฒนาตัวเองทั้งด้านเนื้องานและความเป็นอยู่โดยรวม

สิ่งเหล่านี้เพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงาน (Employee Engagement) พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับบริษัท มีความสุขในการทำงานมากขึ้น ลาออกน้อยลง อยู่กับเรานานขึ้น จงรักภักดีมากขึ้น

ก่อให้เกิดเป็นบรรยากาศและกำลังใจในการทำงานด้านบวก ประเด็นนี้อาจฟังดู Subjective นามธรรมไปบ้าง แต่ก็มีมูลความจริงไม่น้อย เพราะกายและใจแยกขาดกันไม่ได้

ผลวิจัยจาก Accenture ที่ปรึกษาด้านธุรกิจเผยว่า กว่า 64% ของศักยภาพคนในการทำงาน ได้รับอิทธิพลมาจากความ “รู้สึกดี” ทางด้านอารมณ์ จิตใจ ความสัมพันธ์ จุดมุ่งหมายในชีวิต

รวมถึงเรื่องเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละวันการทำงาน เช่น การทำ Standup Meeting ทีมยืนล้อมวง(หรือผ่านประชุมทางไกลก็ได้) แล้วให้อัพเดทการทำงาน ขอความช่วยเหลือ แชร์เรื่องราวสั้นๆ คนละ 2-3 นาที ซึ่งเป็นวิธีการเริ่มงานตอนเช้าที่ทำกันในหลายบริษัทยุคใหม่ ทุกคนได้รู้ความคืบหน้าของงานและเสริมสร้างสปิริตความเป็นทีม

เราจะเห็นว่า กลไกเหล่านี้ สามารถสร้าง-เปลี่ยน Culture องค์กรได้ในระยะยาว

นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารระดับบนที่มีอำนาจตัดสินใจสุดท้าย ก็ต้องมองด้วยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการ “ลงทุน” ไม่ใช่ “ค่าใช้จ่าย” เมื่อใดที่เราลงทุน…เราคาดหวังผลตอบแทน ยิ่งลงทุนมาก ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนมาก

2. ทำให้ต้นทุนการบริหารคนต่ำที่สุด (Minimize Human Cost)

“เมื่อต้นทุนน้อยลง กำไรก็มากขึ้นตาม”

Human Resources ควรเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการหาคน อย่างระบบติดตามผู้สมัคร หรือ Applicant Tracking System (ATS) ที่ทำให้การหาคนง่ายขึ้น-มีประสิทธืภาพขึ้น พร้อม Dashboard ดูได้พร้อมกันแบบ real-time กับหัวหน้าแผนกต่างๆ

ค่าใช้จ่ายระบบซอฟแวร์เหล่านี้จะถูกกว่าในระยะยาว มีประสิทธิภาพการทำงานมากกว่า แถมลด Process ขั้นตอนอันซับซ้อนของ HR ประหยัดเวลาเอาไปใช้ศึกษาเรื่องกลยุทธ์หรือ core business ภาพใหญ่ขององค์กร (เช่น การนำวิธีประเมินผลแบบ OKRs มาใช้)

ผลวิจัยยังเผยว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้ในงาน HR อย่างตรงจุด ประหยัดเวลาลงได้มากกว่าเดิมถึง 5 เท่า แถมยังเหมาะกับองค์กรขนาดเล็ก ที่อาจมี HR ไม่เยอะ(ที่ต้องทำทุกอย่าง)

เพราะการเฟ้นหาคนเก่งระดับหัวกะทิไม่ได้มาฟรีๆ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ต้องมีการลงทุนอย่างเป็นระบบจริงจัง

การสร้าง KPI ที่ท้าทายให้ตัวเอง ก็เป็นอีกวิธีที่หลายคนมองข้ามไป…

เช่น KPI ด้าน “ผลผลิตต่อคน” (Productivity per employee) ฝ่ายผลิตโทรมาขอคนเพิ่ม เราก็ต้องวิเคราะห์แล้วว่าจำเป็นหรือไม่ มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าหรือไม่ สุดท้ายอาจพบว่า…แทนที่จะรับพนักงาน Full-time ใหม่ เมื่อคำนวณแล้วพบว่าการจ้างแบบ Outsource อาจคุ้มค่ากว่า…รวมถึงวิเคราะห์ให้ดีว่าช่วงไหนบริษัทควรงดรับคนเด็ดขาด (Hiring Freeze) อาจเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจภายนอก 

ไม่ต่างจากลูกค้า…การหาพนักงานใหม่มีต้นทุนสูงกว่ารักษาพนักงานเก่า

ความพยายามรักษาพนักงานให้อยู่นานที่สุด นั่นหมายถึงต้นทุนในการหาและฝึกอบรมคนใหม่ก็น้อยลงตาม

Human Resources สามารถเพิ่มความขีดสามารถในบุคลากร (Talent Mobility) หมุนเวียนย้ายงานภายในองค์กรเพื่อที่จะได้มีประสบการณ์หลากหลายสาย…แทนที่การจ้างใหม่ข้างนอก

ผลวิจัยเผยว่า การพัฒนาบุคลากรที่อยู่กับองค์กรแต่เดิมให้เก่งขึ้น มีต้นทุนถูกกว่า การจ้างใหม่ข้างนอกราว 18% 

คนนอกใหม่ที่จ้างมายังมีแนวโน้มถึง 61% ที่จะถูกไล่ออกในเวลาต่อมา ทั้งนี้ เพราะไม่ใช่คนใหม่ทุกคนที่รับเข้ามาจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรได้นั่นเอง

แต่หากต้องรับคนใหม่ Human Resources มีหน้าที่หลักในการสกรีนเลือกคนที่ใช่ที่สุด เหมือนที่ Google ให้ความสำคัญ…กว่าจะเข้าทำงานที่ Google ได้ ต้องผ่านการสัมภาษณ์ 5-6 รอบ กินระยะเวลา 2-3 เดือน ปีนึง คนสมัคร Google กว่า 2 ล้านคนทั่วโลก แต่รับจริงแค่ 4,000-6,000 คนเท่านั้น (อัตราจ้างงานต่ำกว่า 0.5%) 

Human Resources ยังช่วยรายละเอียดอื่นๆ ได้เช่น นโยบายที่ให้ข้อมูลบางประเภทอยู่บน Online ทั้งหมดเพื่อลดค่าดำเนินการ (เช่น ค่าพริ้นต์) และ การจัดตารางเวลาการทำงานให้ยืดหยุ่นขึ้น เช่น Work From Home ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน (ซึ่งส่งผลถึงค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน)

.

.

.

เราจะเห็นว่า HR มีศักยภาพมากกว่าแค่ Call(Cost) Center หากได้รับอำนาจความชอบธรรม ข่าวดีคือ ทัศนคติดั้งเดิมนี้กำลังเจอกับทัศนคติชุดใหม่

ผลวิจัยจาก Workplace Experts เผยว่า ผู้บริหารกว่า 60% เริ่มที่จะให้ความสำคัญกับ HR มากขึ้นแล้วในฐานะ “ตัวขับเคลื่อนกำไร” (Profit Driver) ของบริษัท

.

.

.

แต่ก่อนจะสมัครงานหา Human Resources เราต้องแน่ใจก่อนว่านี่คืองานที่อยากทำจริงๆ หากยังไม่แน่ใจ ลองไปทำแบบ “แบบประเมินอาชีพ” ฟรีจาก CareerVisa ได้ เพื่อค้นหาตัวเองและสายอาชีพที่ชอบสุดๆ ได้ที่นี่ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Jeff Bezos
เลิกเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ ด้วยประตูสองบานของ Jeff Bezos เทคนิคการตัดสินใจที่ผู้บริหารใน Amazon ถูกสอนให้ใช้
1. เวลาตัดสินใจอะไรไม่ได้ อาจไม่ใช่เพราะว่าเราตัดสินใจได้ไม่ดี แต่เราหารู้ไม่ว่าเราไม่เคยแยกมากกว่าว่าการตัดสินใจไหนที่อนุญาตให้เรา ‘ตัดสินใจผิดพลาด’ ได้...
2025 ai
รวม 10 AI น่าใช้ประจำปี 2025 มีเอาไว้พนักงานออฟฟิศทำงานคล่องขึ้นแน่นอน
Work smarter, not harder ด้วย AI Tools เหล่านี้ จดเอาไว้! ฝึกใช้ ทำงานง่ายขึ้นแน่นอน 1. ChatGPT AI ChatBot ที่สามารถโต้ตอบและตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติ...
mindset
10 Mindset สร้างความแตกต่าง สู่ความสำเร็จในที่ทำงานก่อนใคร
ในโลกที่แข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้ ความรู้และความเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวอาจไม่พาเราไปได้ไกลเท่าที่หวัง สิ่งที่แยกคนประสบความสำเร็จออกจากคนทั่วไปอย่างแท้จริงคือ...