สวัสดิการพนักงาน ปี 2025 : อัปเดตเทรนด์และไอเดียที่คนทำงานต้องการ

สวัสดิการพนักงาน

สวัสดิการพนักงาน คืออะไร ?

“สวัสดิการพนักงาน” หรือผลประโยชน์เพิ่มเติมที่พนักงานได้รับจากบริษัทนอกเหนือจากเงินเดือน ไม่ว่าจะเป็น ประกันสุขภาพ ค่าทำฟัน ค่ารักษาพยาบาล วันลาหลากหลายรูปแบบ ไปจนถึงกิจกรรมต่างๆ ที่ทางบริษัทจัดเอาไว้ให้กับพนักงาน 

ซึ่งสวัสดิการเหล่านี้มีเอาไว้เพื่อดึงดูดพนักงานใหม่ๆ ให้มาสมัครทำงานกับทางบริษัท และมีเอาไว้เพื่อรักษาพนักงานที่ทำงานให้กับบริษัท ให้มีความสุขในการทำงานและอยากอยู่กับทางบริษัทไปนานๆ นอกเหนือจากนี้ยังสามารถสร้างประสิทธิภาพในการทำงานและหากสวัสดิการที่มีให้พนักงานนั้นค่อนข้างโดนใจคนส่วนใหญ่ ก็จะถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ดีให้กับทางบริษัทอีกด้วย

ความสำคัญของ “สวัสดิการพนักงาน” ที่ดี

“ในมุมของพนักงาน” สวัสดิการถือว่าเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่จะช่วยให้พนักงานมีความสุขมากยิ่งขึ้นในการทำงาน อีกทั้งยังสามารถลดความเครียดและเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้อีกด้วย

และ “ในมุมของบริษัท” สวัสดิการช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร อีกทั้งยังเป็นตัวช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับพนักงานให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

สวัสดิการทั่วไปที่พนักงานควรได้รับ

  1. สวัสดิการสนับสนุนสุขภาพ ตัวอย่างเช่น ประกันสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาล และโปรแกรมตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น
  2. สวัสดิการสนับสนุนการเงิน ตัวอย่างเช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และเงินสนับสนุนค่าครองชีพ เป็นต้น
  3. สวัสดิการสนับสนุนการศึกษาและการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่น คอร์สเรียน และโปรแกรมอบรม เป็นต้น
  4. สวัสดิการด้านการบริหารเวลาและชีวิต ตัวอย่างเช่น วันลาพักร้อน และวันลาป่วย เป็นต้น

ผลสำรวจเกี่ยวกับความสำคัญของ สวัสดิการพนักงาน

  • จากผลสำรวจของ MetLife Employee Benefits Trends Study 2023 พบว่า 72% ของพนักงานระบุว่าสวัสดิการเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในงาน
  • 85% ของพนักงาน ต้องการสวัสดิการที่ช่วยสนับสนุนสุขภาพจิต เช่น วันลาพักร้อนเพิ่มเติม และบริการให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา

ผลลัพธ์จากการให้ Flexible Working

  • การศึกษาจาก Harvard Business Review ระบุว่า บริษัทที่มี Flexible Working เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 13% และลดการลาออกของพนักงานลงถึง 25%
  • ในงานวิจัยของ Gallup พบว่า 54% ของพนักงาน Gen Z ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance และต้องการ Flexible Working มากที่สุด

ข้อมูลจาก Glassdoor เกี่ยวกับความสุขในที่ทำงาน

  • บริษัทที่ให้สวัสดิการที่ครอบคลุม (Comprehensive Benefits) จะมีคะแนนความพึงพอใจในงานเฉลี่ย 4.5/5 เทียบกับ 3.8 สำหรับบริษัทที่มีสวัสดิการพื้นฐานเท่านั้น
  • 88% ของพนักงานกล่าวว่า สวัสดิการช่วยให้รู้สึกผูกพันกับองค์กร และพร้อมแนะนำองค์กรให้กับคนรู้จัก

สวัสดิการพนักงาน ที่น่าสนใจที่คนรุ่นใหม่ต้องชอบ

สวัสดิการบริษัท ไม่ใช่เรื่องตายตัว และสามารถปรับลดหรือเพิ่มได้ตามยุคสมัยและเทรนด์ที่เปลี่ยนไป ซึ่งในปี 2025 สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการมากที่สุดคือการเน้นความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานมากยิ่งขึ้น โดยสวัสดิการบริษัทควรที่จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลากหลายได้

ตัวอย่าง สวัสดิการพนักงาน” ยอดนิยมประจำปี 2025

1) การให้ความยืดหยุ่นในการทำงาน

– การทำงานระยะไกล (Remote Working) : สวัสดิการที่หลากหลายบริษัทมีมากขึ้นเพื่อให้อิสระพนักงานในการทำงานจากทางไกล และไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัททุกวันเหมือนที่เคยเป็น

– การทำงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Working) : เป็นการให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการเลือกเวลาทำงานที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยสามารถเลือกที่จะเข้าออฟฟิศช้าหรือเร็วก็ได้ตามเวลาที่ตัวเองสะดวก เพียงแต่ผลลัพธ์ของงานยังต้องออกมาอย่างมีประสิทธิภาพดังเดิม

– การทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Working) : รูปแบบการทำงานยอดฮิตในหลายบริษัทในไทย เป็นวิธีการผสมการทำงานในออฟฟิศกับการทำงานนอกสถานที่เข้าด้วยกัน โดยพนักงานสามารถจัดสรรเวลาการทำงานได้ด้วยตัวเอง

2) การดูแลสุขภาพเพิ่มเติมจากเดิม

– ประกันสุขภาพที่ครอบคลุมกว่าเดิม : ไม่ใช่แค่สุขภาพกาย แต่ต้องครอบคลุมเรื่องการตรวจสุขภาพจิตมากขึ้นอีกด้วย

– โปรแกรมเพิ่มเติมสงเสริมสุขภาพ : ไม่ใช่แค่ประกันสุขภาพหรือการตรวจสุขภาพ แต่ถ้าหากบริษัทมีสวัสดิการเพิ่มเติมอย่างเช่น ฟิตเนสฟรี คลายโยคะ ก็จะทำให้พนักงานรู้สึกมีความสุขในการทำงานและเข้ากับความต้องการในชีวิตส่วนตัวมากยิ่งขึ้น

– วันลาเพื่อสุขภาพจิต : เพราะสุขภาพจิตเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นบริษัทควรคำนึงถึงสุขภาพจิตของพนักงานมากขึ้นและให้โอกาสพนักงานได้ลาพักใจในวันที่รู้สึกว่าสุขภาพจิตของตัวเองไม่ดี

3) การพัฒนาตัวเองเพิ่มเติม

– สวัสดิการวางแผนการเติบโตในสายอาชีพ: ช่วยวางแผนการเติบโตให้กับพนักงาน โดยการช่วยคิดแผนพัฒนาตัวเองตามสายงานหรือสายอาชีพที่พนักงานสนใจ

ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติม : ไม่ว่าจะเป็นการให้คอร์สเรียนฟรีกับพนักงาน ไปจนถึงสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่อหรือศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาทักษะในการทำงาน

4) สวัสดิการตามรูปแบบไลฟ์สไตล์พนักงาน

สวัสดิการสำหรับพ่อแม่ : ตัวอย่างเช่น วันลาในการคลอดบุตร ไปจนถึงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในเรื่องของการเลี้ยงลูกเป็นต้น

สวัสดิการเอื้ออำนวยการมีสัตว์เลี้ยง : มีหลายบริษัทที่ปรับรูปแบบเป็น Pet-friendly ออฟฟิศ และให้โอกาสพนักงานในการนำสัตว์เลี้ยงมาทำงาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่แตกต่าง และสร้างความสุขในการทำงานมากยิ่งขึ้น

กิจกรรมสันทนาการ : เป็นกิจกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้ความสัมพันธ์ของพนักงานซึ่งกันและกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างความสุขในการทำงานและทำให้ภาพลักษณ์บริษัทดีขึ้นอีกด้วย

5) สวัสดิการทางด้านการเงิน

โปรแกรมวางแผนการเงิน : เพราะคนรุ่นใหม่ใส่ใจด้านการวางแผนการเงินและการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น หากบริษัทมีตัวช่วยเหลือหรือสวัสดิการดีๆ ก็จะน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

สวัสดิการบำนาญ : เป็นการยืนยันถึงความมั่นคงในระยะยาวให้กับพนักงาน และเป็นการช่วยวางแผนเกษียณทำให้พนักงานไม่เดือดร้อนทางด้านการเงินหลังจากเกษียณจากงาน

กรณีศึกษาของบริษัทระดับโลก

Google: ผู้นำด้านสวัสดิการเพื่อพนักงาน

Google เป็นตัวอย่างบริษัทที่ให้ความสำคัญกับสวัสดิการพนักงานอย่างมาก โดยมีบริการครบวงจร เช่น

  • อาหารฟรี สำหรับพนักงานทุกมื้อ
  • พื้นที่ออกกำลังกายและกิจกรรมพักผ่อน เช่น โยคะ ห้องออกกำลังกาย และบริการนวด
  • สวัสดิการครอบครัว เช่น การสนับสนุนการลาคลอดและเลี้ยงดูบุตร รวมถึงเงินช่วยเหลือหากสมาชิกในครอบครัวเสียชีวิต
  • การเรียนรู้และพัฒนา Google สนับสนุนให้พนักงานเรียนรู้ตลอดชีวิต เช่น การเข้าร่วมเวิร์กช็อปและทุนการศึกษา

ผลลัพธ์ที่ได้คือ Google ติดอันดับ “บริษัทที่พนักงานอยากทำงานด้วยมากที่สุด” จาก Glassdoor หลายปีติดต่อกัน

Salesforce: สร้างสุขภาพจิตและสมดุลชีวิตการทำงาน

Salesforce นำเสนอโปรแกรม “Wellness Reimbursement Program” ที่ให้พนักงานเบิกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ เช่น ค่าใช้จ่ายฟิตเนส โยคะ หรือแม้แต่ค่าปรึกษานักจิตวิทยา

  • นอกจากนี้ Salesforce ยังมีโปรแกรม “Volunteer Time Off (VTO)” ที่ให้พนักงานลางานไปทำกิจกรรมอาสาสมัครโดยยังได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน

พนักงานของ Salesforce รายงานว่ารู้สึกพึงพอใจในงานและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

Unilever: ความยั่งยืนและความเป็นอยู่ที่ดี

Unilever มีโปรแกรม “Agile Working Policy” ซึ่งเปิดโอกาสให้พนักงานเลือกทำงานแบบ Remote หรือ Flexible Work ได้

  • มีการตรวจสุขภาพประจำปี พร้อมทั้งให้ความรู้ด้านการพัฒนาสุขภาพจิตและร่างกาย
  • นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนการวางแผนการเงินระยะยาวสำหรับพนักงานเพื่อสร้างความมั่นคง

อย่างไรก็ตามความต้องการด้านสวัสดิการของบริษัทของพนักงานแต่ละคนค่างข้างหลากหลายและแตกต่างกัน บริษัทจึงควรจะทำความเข้าใจความต้องการของพนักงาน และหาตรงกลางในการให้สวัสดิการที่สามารถเข้าถึงได้ทุกคน

สวัสดิการที่ดีไม่ใช่แค่การให้เงินเดือนสูง แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เอื้อต่อการเติบโตและพัฒนาของพนักงานทุกคน ทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมกับองค์กรและอยากทำงานอยู่ด้วยในระยะยาว

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

2025 ai
รวม 10 AI น่าใช้ประจำปี 2025 มีเอาไว้พนักงานออฟฟิศทำงานคล่องขึ้นแน่นอน
Work smarter, not harder ด้วย AI Tools เหล่านี้ จดเอาไว้! ฝึกใช้ ทำงานง่ายขึ้นแน่นอน 1. ChatGPT AI ChatBot ที่สามารถโต้ตอบและตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติ...
mindset
10 Mindset สร้างความแตกต่าง สู่ความสำเร็จในที่ทำงานก่อนใคร
ในโลกที่แข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้ ความรู้และความเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวอาจไม่พาเราไปได้ไกลเท่าที่หวัง สิ่งที่แยกคนประสบความสำเร็จออกจากคนทั่วไปอย่างแท้จริงคือ...
พฤติกรรมทำลายแรงจูงใจ
พฤติกรรมสำคัญที่ทำลายแรงจูงใจในชีวิต รีบเลิกก่อนจะไม่มีแรงทำอะไร โดย Andrew Huberman
เคยมีอาการเหนื่อย ไม่อยากทำอะไรบ้างไหม ใน Podcast ของ Chris Williamson ได้สัมภาษณ์ Andrew Huberman เอาไว้เกี่ยวกับพฤติกรรมทำลายแรงจูงใจในชีวิตอย่างน่าสนใจดังนี้:...