Clubhouse แอปเปลี่ยนโลก จาก 2 สหายผู้ก่อตั้งและพนักงาน 9 คน

Clubhouse แอปเปลี่ยนโลก
Clubhouse แอปเปลี่ยนโลก โตระเบิดขึ้นแท่นยูนิคอร์น! ยอดผู้ใช้งานแตะ 10 ล้าน ผลการค้นหา “Clubhouse app” เพิ่มขึ้นถึง 3,250% ในเวลาเพียง 3 เดือน
  • แอป Clubhouse เกิดจาก 2 ผู้ก่อตั้งที่เป็นเพื่อนกันมานาน
  • มีพนักงานเริ่มแรกเพียง…9 คน
  • และใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็สามารถให้บริการได้แล้ว

จากแอปที่ไม่เป็นที่รู้จัก มีผู้ลงทะเบียนใช้แค่ 1,500 คน ผู้ใช้งานจริงราว 300 คน/วัน ยังไม่มีแม้แต่เว็ปไซต์ของตัวเอง มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และมีพนักงานทั้งบริษัทแค่ 9 คน แต่มาหลังโควิด อย่างที่เราทราบกัน Clubhouse โตระเบิดขึ้นแท่นยูนิคอร์น! (มูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านบาท) ยอดผู้ใช้งานแตะ 10 ล้านคน! ผลการค้นหาคีย์เวิร์ด “Clubhouse app” เพิ่มขึ้นถึง 3,250% ในเวลาเพียง 3 เดือน น่าสนใจว่าที่ผ่านมา Clubhouse มีวิธีคิดปั้นองค์กรอย่างไร?

คิดนอกกรอบ

จะสร้างความแตกต่างท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัดยังไงได้บ้าง? การคิดแบบเดิมๆ คงสู้เจ้าตลาดที่มีอยู่แล้วไม่ได้แน่ๆ ทีมจึงถูกกระตุ้นให้ “คิดนอกกรอบ” ลองตั้งคำถามกับทุกสิ่ง เช่น ตั้งแต่ด่านแรกเลยว่า จำเป็นไหมที่คนต้องเข้าเล่นแอปได้ ‘เข้าถึงง่าย’ เสมอไป? จึงออกมาเป็น Gimmick การตลาดคือ “Invitation-Only” ต้องถูกเชิญเท่านั้นถึงจะเล่น Clubhouse ได้ เงื่อนไขคือ 1 คนมีโควต้าชวนเพื่อนได้แค่ 2 คน ให้ความรู้สึก Exclusive และเป็น Pre-Experience ก่อนเข้าใช้งานแอป 

ถูกเรียกว่า Gimmick เพราะเมื่อคำนวณดีๆ 1 คนชวนได้ 2 คน / 2 ชวนได้ 4 / 4 ชวนได้ 16 / 16 ชวนได้ 256 / 256 ชวนได้ 65,536 คน…จากจุดเริ่มต้นถ้าทุกคนเชิญไปแค่ 30 รอบ ผลลัพธ์จะทวีคูณไปอยู่ที่หลัก “พันล้านคน” หรือก็คือ ชวนกันไป-ชวนกันมาสุดท้ายแล้วเรา “ทุกคน” จะได้เข้าเล่นแน่นอนไม่ต้องห่วง (ตอนนี้กำลังพัฒนาของ Android อยู่)

มากไปกว่านั้น แอปอื่นๆ ล้วน “ดูย้อนหลัง” ได้ Clubhouse จึงโดดไปอยู่ขั้วตรงข้ามโดยการสนทนาทุกห้องจะ “ไม่มีการบันทึก” จบแล้วจบเลย การคิดนอกกรอบนี้ กลายเป็นเอกลักษณ์ของ Clubhouse ถูกพูดถึงแพร่หลายตามสื่อ สร้างกระแส FOMO กลัวตกเทรนด์ ผู้คนต่างร้องหา “ชวนเข้าแอปหน่อยครับ/ค่ะ” และรีบเข้าฟังห้องที่กำลังเป็น Viral เพราะไม่มีโอกาสกลับมาฟังใหม่

ฟัง แทน มอง

ก่อนพัฒนาแอป 2 คู่หู Co-founder วิเคราะห์ถึงรากฐานพัฒนาการของมนุษย์ เรามักได้ยินคำนี้ “ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน” จะเห็นว่าพัฒนาการของเด็กเล็กจะเริ่มมาจากการ “ฟัง” ก่อน ซึ่งมนุษย์เป็นเหมือนกันหมดไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน วัฒนธรรมไหนของโลก การฟัง(ที่เชื่อมโยงกับการพูด) น่าจะเป็นความต้องการพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ และเมื่อสังเกตไปรอบตัว Facebook / Instagram / Twitter / YouTube โซเชียลมีเดียที่ครองโลกทุกวันนี้บังคับให้เรา “มอง” หน้าจออยู่ตลอดเวลา (แถมอาจยังต้อง “ถือ” มือถือเพื่อมอง)

การ “ฟัง” ที่เป็นพื้นฐานของคนและแตกต่างจากยักษ์ใหญ่ในตลาดจึงถูกพัฒนาต่อยอด Bilal Zuberi หนึ่งในหุ้นส่วนสำคัญทางธุรกิจ ให้ข้อสังเกตว่านี่เป็นโซเชียลมีเดียเดียวในตอนนี้ที่คุณ “ไม่ต้องมองหน้าจอ” 

“ผมสามารถทำอย่างอื่นไปด้วยขณะฟัง Clubhouse…นั่งอยู่ริมสระว่ายน้ำมองดูลูกๆ เล่นอย่างสนุกสนานขณะฟัง Clubhouse ไปด้วยก็ได้ นี่เป็นประสบการณ์ที่วิเศษ”

แกนหลักคือ Creator 

Clubhouse ให้ความสำคัญที่ Experience มากกว่ายอด Click (จึงไม่มีปุ่ม Like/Comment/Share) และ Creator เป็นกลุ่มคนที่สร้างประสบการณ์ที่ดี ทำให้แอปโตมาถึงทุกวันนี้ได้พวกเค้าสร้างห้องขึ้นมา ชวนเพื่อน จัดทอล์กโชว์พูดคุยประจำทุกอาทิตย์  ล่าสุดเดือนมีนาคม Clubhouse ได้เปิดตัว Creator First Accelerator โปรแกรมที่ช่วยบ่มเพาะเหล่าครีเอเตอร์และเป็นช่องทางสร้างรายได้ในที่สุด โดยเริ่มแรกจะทดลองคัดเลือกทั้งหมด 20 รายมาเข้าร่วม

จะเรียกว่า “โชคดี” (คูณพัน)ก็ได้ เพราะ Elon Musk / Oprah Winfrey / Mark Zuckerberg / Kanye West คนดังระดับโลกโปรโมทแอปนี้ด้วยตัวเอง 2 สัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ (หลังเหล่าคนดังช่วยโปรโมท) ยอดดาวโหลด Clubhouse เพิ่มจาก 3.5 ล้าน สู่ 8.1 ล้านดาวโหลด เมื่อถึงสิ้นเดือนยอดได้แตะ 10 ล้านเป็นที่เรียบร้อย 

ไม่นานนัก แอปก็ได้ดึงดูดกลุ่มคน “Elites” ในแต่ละวงการให้มาร่วมวงสนทนา สร้างประสบการณ์ Exclusive เข้าไปอีก เมื่อคนคนธรรมดาพูดคุยสดๆ กับคนใหญ่คนดังได้  คุณยกมือถามสดๆ ถึงเคล็ดลับการบริหารองค์กรกับผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix ในห้องที่เค้าจัดขึ้นด้านบริหารองค์กร ซึ่งในชีวิตจริงมันไม่มีโอกาสเลยที่เราจะได้คุยกับคนระดับนี้ Elites เหล่านี้มาพร้อมผู้ติดตามมหาศาล ตอนนี้ใครอยากให้ห้องมีคนเข้าฟังเยอะๆ “แขกที่ถูกเชิญมาร่วมพูดคุย” จะต้องเป็นคนดังที่มีผู้ติดตามเยอะเป็นทุนเดิม

“Ear + Elite + Exclusive” ทั้ง 3Es นี้รวมกันจนกลายเป็นเสน่ห์อันแตกต่างของ Clubhouse ไปแล้ว

ก้าวต่อไปของ Clubhouse แอปเปลี่ยนโลก

จุดจากเริ่มต้นที่พนักงาน 9 คนนำพาให้แอปยืนหยัดท่ามกลางการโตระเบิด ถึงวันนี้ Clubhouse กำลังเปิดรับสมัครพนักงานเพิ่มแล้ว โดยแบ่งออกเป็น 3 ทีมหลักได้แก่

  1. ทีม General เช่น ตำแหน่ง General Application
  2. ทีม HR เช่น ตำแหน่ง Recruiting Coordinator
  3. ทีม Trust & Safety เช่น ตำแหน่ง Trust & Safety Specialist

เดือนมีนาคม 2021 Maya Watson “อดีตผู้บริหาร Netflix” (ในวัยเพียง 35!) ถูกแต่งตั้งให้เป็น Global Head of Marketing ของ Clubhouse  เธออยู่เบื้องหลังความสำเร็จด้านผลิตสื่อและช่องทางมีเดียมากมายตลอด 4 ปีที่ Netflix หนึ่งในนั้นคือ Strong Black Lead แบรนด์ภายใต้ Netflix ที่ประสบความสำเร็จล้นหลามสร้างชื่อเสียงให้เธอในด้าน Diversity การมาคุมบังเหียนด้านการตลาดให้ Clubhouse เราคงจะได้เห็นอะไรน่าสนใจต่อจากนี้อีกแน่นอน..

หางเป็นไงให้ดูที่ “หัว”

ยึดประสบการณ์ผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง จะทำอะไรให้คิดก่อนว่าท้ายที่สุดคนจะ “รู้สึก” อย่างไร? นี่ไม่ใช่คำพูดสวยหรูที่มาจากฝั่ง HR หรือทีม PR แต่มาจากปากผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสองเองเลย โดย Paul Davidson และ Rohan Seth เป็นเพื่อนกันมาก่อน 

  • Paul Davison เป็นนักพัฒนาและนักลงทุน
  • Rohan Seth เป็นอดีตวิศวกร Google

ทั้งคู่ต่างทำงานในวงการ Social App มาตั้งแต่ปี 2011 เคยสร้าง Social App แต่ล้มเหลวมาถึง 9 ครั้ง! กาลเวลาผ่านไป ประสบการณ์กว่าทศวรรษมอบบทเรียนให้พวกเขา รวมถึงอายุที่เริ่มเป็นวัยกลางคน ในปี 2019 ทั้งคู่จึงตัดสินใจลองสร้างแอปใหม่(เป็นครั้งสุดท้าย) ที่มีชื่อว่า Clubhouse โดยมีแก่นว่ามันต้อง “มีความเป็นมนุษย์” (Felt more human) มากกว่าแอปอื่นที่มีอยู่ในท้องตลาด และมนุษย์นั้น สุดท้ายเมื่อเจอหน้าเราก็ต้อง “พูดคุย” กัน

  • เมื่อคุณต้องการแสดงความคิดเห็นใน Facebook…คุณพิมพ์ Comment
  • เมื่อคุณต้องการแสดงความคิดเห็นใน Clubhouse…คุณแค่พูดมันออกมา และเป็นปฏิสัมพันธ์แบบ Real-time

ทั้งคู่เชื่อใน The Power of Voice และยึดจุดนี้เป็นเสาหลักของแอป จึง “ตัด” ฟีเจอร์อื่นทิ้งไปให้หมด (เอาแค่ “ฟัง+พูด”) โดยเป้าหมายคือ หลังจากคุณออกจากแอป ต้อง “รู้สึกดีกว่า” ตอนที่คุณเข้าแอปมา ได้มิตรภาพที่แน่นแฟ้นขึ้น ได้พบเจอผู้คนใหม่ๆ และได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง บริษัทยังเชื่อในคุณค่า “Diversity & Inclusion” มาตั้งแต่ Day1 อย่างในการเปิดรับสมัครงานเพิ่ม Message หนึ่งที่เน้นย้ำบ่อยครั้งคือ “Everyone is welcome.” ยินดีต้อนรับทุกคนนะ คุณไม่ได้จบมหาลัยฯดังไม่เป็นไรลองส่งมาก่อน 

Paul และ Rohan เชื่อว่าโลกเราทุกวันนี้ไม่มีวัฒนธรรมเดียว (Monoculture) อีกต่อไปแล้ว สะท้อนมาถึงประสบการณ์การใช้งาน ห้องสนทนาไหนที่ผู้ฟังยิ่งมาจากหลากหลายกลุ่มมากเท่าไร ยิ่งมีการตกผลึกทางความคิดมากเท่านั้น (และยิ่งทำให้คนอยากใช้ Clubhouse ต่อไป) อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ องค์กรนี้โอบกอด “ความไม่รู้” ในการรับสมัครคนเพิ่ม ถึงกับเขียนประกาศชัดเลยว่า คุณต้องเป็นพวกสบายใจกับความไม่รู้และตื่นเต้นไปกับการค้นหาคำตอบ พร้อมแก้ปัญหาที่ไม่คาดคิดในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงเร็วอยู่ตลอด

.

.

ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa ได้เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ และหลงรักไปกับมันในทุกๆ วัน! >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/


อ้างอิง

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

Jeff Bezos
เลิกเป็นคนไม่กล้าตัดสินใจ ด้วยประตูสองบานของ Jeff Bezos เทคนิคการตัดสินใจที่ผู้บริหารใน Amazon ถูกสอนให้ใช้
1. เวลาตัดสินใจอะไรไม่ได้ อาจไม่ใช่เพราะว่าเราตัดสินใจได้ไม่ดี แต่เราหารู้ไม่ว่าเราไม่เคยแยกมากกว่าว่าการตัดสินใจไหนที่อนุญาตให้เรา ‘ตัดสินใจผิดพลาด’ ได้...
2025 ai
รวม 10 AI น่าใช้ประจำปี 2025 มีเอาไว้พนักงานออฟฟิศทำงานคล่องขึ้นแน่นอน
Work smarter, not harder ด้วย AI Tools เหล่านี้ จดเอาไว้! ฝึกใช้ ทำงานง่ายขึ้นแน่นอน 1. ChatGPT AI ChatBot ที่สามารถโต้ตอบและตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติ...
mindset
10 Mindset สร้างความแตกต่าง สู่ความสำเร็จในที่ทำงานก่อนใคร
ในโลกที่แข่งขันสูงอย่างทุกวันนี้ ความรู้และความเชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียวอาจไม่พาเราไปได้ไกลเท่าที่หวัง สิ่งที่แยกคนประสบความสำเร็จออกจากคนทั่วไปอย่างแท้จริงคือ...