คิดอยากริเริ่มธุรกิจกับเพื่อนสนิท อย่าลืมศึกษาข้อดี-ข้อเสีย กันไว้ก่อนนะ

ใครอยากเปิดธุรกิจส่วนตัว ฟังทางนี้! การเลือกพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจนั้นสำคัญมาก และคนส่วนใหญ่มักจะรู้สึกว่าการเริ่มต้นคนเดียวมันมักจะลำบาก เลยมักจะปรึกษาหรือเริ่มต้นทำธุรกิจกับเพื่อนหรือคนที่ตัวเองรูัใจ แต่ก่อนที่จะเริ่มต้น มาลองศึกษากันว่า ข้อดีและข้อเสียของการเปิดธุรกิจกับเพื่อนตัวเองนั้นเป็นอย่างไร

การเริ่มต้นทำธุรกิจใคร ๆ ก็ทำได้ แต่การจะเริ่มต้นกับใครนั้น ต้องคิดให้เยอะหน่อย ซึ่งไม่แปลกที่หลายคนที่อยากเริ่มต้นทำธุรกิจกับกลุ่มเพื่อนหรือเพื่อนสนิทของตัวเองเพราะเป็นคนที่เราไว้ใจและสามารถปรึกษาได้ในหลาย ๆ เรื่อง เลยทำให้เรามักจะรู้สึกว่าน่าจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น และสนุกกับการทำงานมากขึ้น

 

แต่ว่าทุกอย่างก็ย่อมมีข้อดีและข้อเสียกันไป ถึงการเปิดธุรกิจส่วนตัวกับเพื่อนสนิทตัวเองจะมีหลายข้อดี แต่ก็อย่าลืมศึกษาถึงข้อเสียเอาไว้ด้วย เพื่อที่จะได้ระมัดระวังและป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

 

ยิ่งการทำธุรกิจหรือการลงทุนร่วมกันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน การที่เราทำงานกับเพื่อนสนิทหรือคนที่เราไว้วางใจกันมานาน เลยต้องถูกคิดให้เยอะขึ้น มันคงไม่เหมือนกับตอนเรียนหรือทำงานกลุ่มแล้วที่เราทำงานด้วยกันแบบไม่ได้มีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง (นอกจากคะแนนหรือเกรดที่ได้รับจากผลงาน) ดังนั้น เมื่อโตขึ้นและมองว่าต้องการจะเปิดธุรกิจจริง ๆ อย่าลืมที่จะศึกษาให้กว้างล่ะ

 

วันนี้ CareerVisa จึงจะมาเปิดข้อดีและข้อเสีย ของการทำธุรกิจกับเพื่อนสนิทตัวเองให้ได้ลองอ่านกัน มาลองดูกันว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

 

[ข้อดีและข้อเสีย ของการเปิดธุรกิจร่วมกับเพื่อนสนิท]

ข้อดี

– ความสัมพันธ์ในการทำงานที่ดี เข้าใจกัน เพราะเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมาก่อน

– มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้

– สื่อสารซึ่งกันและกันได้ง่าย สบายใจ

– วางแผนเป้าหมายด้วยกันได้ง่าย เพราะมองภาพเดียวกัน

– ทำงานเป็นทีมได้ง่ายขึ้น

– ได้ใช้เวลาร่วมกันกับเพื่อนมากยิ่งขึ้น

 

ข้อเสีย

– อาจจะทำให้การทำงาน ไม่จริงจังมากพอ

– รู้จักกันและกันมากจนเกินไป ทำให้มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ

– การสื่อสารอาจจะไม่จริงจังเท่าที่ควร เพราะว่าติดเรื่องความสัมพันธ์แบบเพื่อน

– หากใครคนหนึ่งตำแหน่งสูงกว่าอีกคน อาจจะทำให้ไม่สามารถเป็นหัวหน้าได้อย่างเต็มที่

– ไม่ได้รู้จักคนใหม่ ๆ เท่าไร

 

มีหลายอย่างที่เป็นข้อดี และข้อเสีย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดความตั้งใจในการทำธุรกิจของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะตั้งรับกับมันอย่างไร ให้การทำธุรกิจกับเพื่อนออกมาอย่างราบรื่นมากที่สุด

ลองศึกษากันให้ดี และตั้งใจกับสิ่งที่ตัวเองอยากทำกันนะ

 

อ้างอิง : https://www.inc.com/christina-desmarais/11-pros-and-cons-of-building-a-business-with-friends.html

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38