ปกติแล้วสภาวะหมดไฟ หรือ burnout จะเกิดจากการที่เราเครียดมาก เครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งจะต่างจากความเครียด (Stress) ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ชั่วครั้งคราวตามสถานการณ์ที่พบเจอ และหายไปในวันหนึ่งเมื่อเราผ่านพ้นปัญหานั้นมาได้แล้ว
หากแต่ว่าหลายคนไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า จริงๆ แล้วเราแค่เครียด หรือนี่เรียกว่าหมดไฟ การสังเกตตัวเองอย่างดี จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาเอาไว้ เรียนรู้อาการ เพื่อที่จะได้ปรับตัวและหาวิธีแก้ไขได้อย่างถูกจุด
วันนี้ CareerVisa จะมาบอกให้ว่า สภาวะหมดไฟ (Burnout) และสภาวะเครียด (Stress) ต่างกันอย่างไร
สภาวะหมดไฟ (Burnout)
– ไม่สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัว และไม่อยากทำอะไรเลย
– ไร้ความรู้สึก ไร้อารมณ์ตอบสนองกับสิ่งรอบตัว
– เพิกเฉยและเริ่มสิ้นหวังกับสิ่งต่างๆ
– ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวได้ลดลง
– หมดแรงบันดาลใจ ไม่อยากพัฒนาตัวเองต่อ
– เสี่ยงที่จะเป็นสภาวะซึมเศร้า
– มีผลกระทบต่ออารมณ์อย่างชัดเจน
– เริ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่มีคุณค่า โลกนี้ไม่จำเป็นต้องมีเราก็ได้
แนวทางแก้ไข
[1] เข้าสังคมให้มากขึ้น
[2] เปลี่ยนความคิดต่องานให้เป็นแง่บวกยิ่งขึ้น
[3] จัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ดีขึ้น
[4] ออกกำลังกายมากขึ้น
[5] กินอาหารที่ดี มีสารอาหารครบ
สภาวะเครียด (Stress)
– สนใจสิ่งรอบตัว แคร์คนรอบข้างมากจนเกินไป
– สภาวะอารมณ์แปรปรวน
– รีบร้อนที่จะทำสิ่งต่างๆ
– ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ มากกว่าปกติ
– หมดพลังและเหนื่อยง่ายกว่าปกติ
– กังวลง่าย
– เกิดผลกระทบด้านร่างกายโดยตรง
– ร่างกายเสื่อม มีโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
แนวทางแก้ไข
[1] ทำสมาธิให้บ่อยขึ้น
[2] จัดสรรเวลาในชีวิตประจำวันให้ดีขึ้น
[3] หาอะไรทำที่ผ่อนคลาย เช่น ดูหนังและฟังเพลง เป็นต้น
[4] ปรับเปลี่ยนความคิดต่อชีวิต
[5] ออกกำลังกายให้มากขึ้น
หากตระหนักรู้อาการตัวเองอยู่เสมอ เข้าใจอารมณ์และสิ่งที่ตัวเองกำลังพบเจออยู่ ก็จะสามารถหาทางแก้ไขได้อย่างถูกจุด บางทีเราอาจจะเครียดหรืออาจจะหมดไฟก็ได้ ลองค่อยๆ คิด และค่อยๆ หาทางแก้ไข ไม่ต้องรีบ หากเราใจเย็นกับตัวเองมากพอ จะกลับมามีความสุขขึ้นได้อย่างแน่นอน
อ้างอิง: