อยากตั้งเป้าหมายในการทำงาน ต้องเริ่มต้นอย่างไร

หมดยุคของการทำงานไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเป้าหมายกันแล้ว มีใครบ้างที่ตอนนี้ทำงานอยู่แต่รู้สึกล่องลอยไปหมด ลองตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองดู อาจจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้ แต่บอกเลยว่าเวลาที่เราทำอะไรแบบมีจุดหมาย มันจะเป็นแรงผลักดันให้เราตั้งใจทำมันให้ออกมาดีที่สุดอย่างที่หวังไว้แน่นอน

หมดยุคของการทำงานไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเป้าหมายกันแล้ว มีใครบ้างที่ตอนนี้ทำงานอยู่แต่รู้สึกล่องลอยไปหมด ลองตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองดู อาจจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้ แต่บอกเลยว่าเวลาที่เราทำอะไรแบบมีจุดหมาย มันจะเป็นแรงผลักดันให้เราตั้งใจทำมันให้ออกมาดีที่สุดอย่างที่หวังไว้แน่นอน

 

หากแต่ว่าหลายคนอาจจะยังสับสนว่า แล้วเราจะตั้งเป้าหมายตรงนี้ออกมาอย่างไรดี อะไรคือตัวชี้วัดว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือเป็นเป้าหมายที่ดี

มาลองดูกันว่าเราจะทำได้ด้วยวิธีอย่างไรบ้าง

 

หลายคนอาจจะมีวิธีการตั้งเป้าหมายที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะเริ่มที่ตั้งเป้าหมายระยะสั้นไปเรื่อย ๆ แล้วค่อย ๆ ทำเป้าหมายให้สำเร็จไปทีละอย่างเหมือนการเก็บแต้ม แต่บางคนก็อาจจะเริ่มที่การตั้งเป้าหมายระยะยาวก่อน แล้วค่อย ๆ ทำไปทีละนิดเพื่อให้ถึงจุดหมายตรงส่วนนั้น ซึ่งวิธีการคิดหรือแนวทางการวางแผน ก็แล้วแต่ความถนัดหรือความชอบของแต่ละคน

 

วันนี้ CareerVisa จะมานำเสนอ วิธีการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ด้วยวิธีง่าย ๆ สำหรับคนที่ต้องการมีเป้าหมายในชีวิตการทำงานมากขึ้น มาดูกันว่าเราสามารถมีแนวทางได้อย่างไรบ้าง

 

1) ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน : หลายคนอาจจะรู้สึกว่าตั้ง ๆ ไปก่อน เพื่อให้ตัวเองสามารถมีอะไรให้เกาะให้ถึงเป้าหมายตรงนั้น แต่ถ้าหากเป้าหมายไม่ชัดเจนมากพอ ก็อาจจะทำให้ระหว่างทางของเราแกว่งไปมาก็เป็นได้ ตัวอย่างเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เราต้องการเป็นหัวหน้าในสายงานนี้ที่บริษัทนี้

 

2) เป้าหมายต้องวัดผลได้ : หลังจากที่เรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว เราก็ควรจะทำเป้าหมายนั้นให้สามารถวัดผลได้ หรือมีตัวเลขรองรับ อย่างเช่น เราจะเติบโตเป็นหัวหน้าให้ได้ภายใน 1 ปี หรือ เราจะต้องทำยอดขายให้ได้ 1 ล้านบาท ในระยะเวลา 2 ปี เป็นต้น

 

3) ตั้งเป้าหมายในเชิงบวก : พยายามให้เป้าหมายนั้นออกมาเป็นการคิดในแง่บวก เช่น เราอยากที่จะพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมนี้ให้ได้ในระยะเวลา 1 ปี ไม่ใช่ เราอยากจะหลุดพ้นจากการทำงานที่นี่ให้ได้ภายใน 2 ปี พยายามตั้งเป้าหมายที่เรานึกถึงแล้วจะรู้สึกบวกมากกว่าลบ

 

4) อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง : อย่าตั้งเป้าหมายที่ยากเกินกว่าจะเอื้อมถึง ให้ตั้งเป้าหมายที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง และไม่เกินความสามารถของตัวเองมากจนเกินไป เนื่องจากเป้าหมายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จะช่วยให้เรามีความกระตือรือร้น และไม่รู้สึกว่ามันยากเกินไปจนไม่อยากไปถึงเป้าหมายนั้น ๆ นั่นเอง

 

5) ตั้งระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายนั้น ๆ แบบไม่เร่งรัด : เราไม่จำเป็นต้องรีบทำให้เป้าหมายสำเร็จ หรือยึดติดกับระยะเวลาที่กระชั้นชิดมากจนเกินไป หากแต่ว่าการมีระยะเวลากำหนดไว้ ก็จะช่วยให้เราวางแผนได้ง่ายขึ้น และมีแรงผลักดันมากยิ่งขึ้น เพียงแต่อย่าลืมว่าระยะเวลานั้น ก็ต้องยืดหยุ่นและอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้อีกเช่นกัน

 

6) จับคู่เป้าหมายนั้นกับการกระทำ : อย่าลืมว่าเป้าหมายต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เราทำ หรือการกระทำที่สามารถเกิดขึ้นได้ อย่างเช่น เราจับคู่เรื่องของการบรรลุเป้าหมายที่จะเรียนรู้ทักษะการเขียนโปรแกรมกับการสมัครคอร์สเรียนเขียนโปรแกรมเพื่อเรียนรู้มัน เป็นต้น

 

7) อย่าเครียดกับเป้าหมายมากจนเกินไป : เปลี่ยนแรงกดดันให้มาเป็นแรงผลักดัน อย่าจมปลักกับเป้าหมายจนเกิดความเครียดมากจนเกินไป พยายามยืดหยุ่นกับมันและมองว่าเป้าหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอหากเรามีการปรับวิธีการใช้ชีวิตหรือแนวทางในการทำงาน

 

อย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป การตั้งเป้าหมายการทำงานเป็นเพียงสิ่งที่เพิ่มแรงผลักดันให้กับตัวเองให้เราตั้งใจทำสิ่ง ๆ หนึ่งมากขึ้น แบบที่ไม่หลุดจากแนวทางที่เราวางไว้ เชื่อว่าทุกคนสามารถไปถึงเป้าหมายการทำงานและประสบความสำเร็จในชีวิตได้หากมีความพยายามมากพอ

 

 

อ้างอิง : https://www.thebalancemoney.com/goal-setting-526182

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38