เงินตราบนโลกมีอยู่ทั้งหมดรวมกันราว 60 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แต่ในจำนวนนี้…
- เงินตราที่จับต้องได้ใน ‘โลกจริง’ มีอยู่ราว 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
- เงินตราที่อยู่ใน ‘โลกเสมือน’ มีอยู่มากกว่า 50 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
กว่า 90% ของเงินตราที่เราครอบครอง…อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์
- นาย A เป็น Influencer ชื่อดังที่มีเพื่อนสนิทในชีวิตจริงอยู่ราว 10 คน
- ขณะที่มีผู้ติดตามใน Facebook Page อยู่ 10 ล้านคน
นี่เป็นเพียงตัวอย่างนึงที่ให้เห็นภาพกว้างๆ ของ “Metaverse” หรือ การรวมของพื้นที่โลกจริง-โลกเสมือนที่ผสานกันจนแยกไม่ออก เราใช้ชีวิตอยู่ทั้งสองโลก-มีตัวตนอยู่ทั้งสองโลก และโลกเสมือนไม่ได้สำคัญน้อยกว่าเสมอไป เพราะโลกเสมือนอาจมีมูลค่ามากกว่าโลกจริง!
Metaverse หน้าตาเป็นอย่างไร?
เมื่อพูดถึงโลกจริง-โลกเสมือน หลายคนนึกถึงหนังเรื่อง The Matrix, Ready Player One, หรือ Avatar…ใช่แล้ว นั่นคือ Metaverse ในยุคที่เทคโนโลยีขึ้นจุดสูงสุด คุณเสียบอุปกรณ์บางอย่างที่วาร์ปพาคุณไปสู่อีกโลกเสมือนนึงที่แม้แต่เวลาอาจเดินไม่เท่าโลกจริง
แต่ในอนาคตอันใกล้ยุคบุกเบิก เราอาจสัมผัส Metaverse ที่สเกลเล็กลงมาหน่อย โดยมี 5G / AR / VR ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังไม่ต่างจากกระแสไฟฟ้าที่ทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำงาน
…คุณกำลังวิ่งบนลู่วิ่งไฮเทคที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งในกรุงเทพ พร้อมใส่แว่นตา AR ที่ทำให้คุณเข้าสู่โลกเสมือนพร้อมกับเพื่อนอีก 5 คน ในสภาพแวดล้อมจำลองรอบด้านที่เหมือนคุณกำลังวิ่งอยู่ใน Central Park ที่ New York
Alibaba ทำห้างคอนเซ็ปท์ใหม่ในชื่อ New Retail ผสานโลกช็อปปิ้งออนไลน์-ออฟไลน์อย่างสมบูรณ์แบบ ห้างต้นแบบนี้ใช้เทคโนโลยี AR และ VR กระจายอยู่ทุกจุด เช่น ถ้าคุณอยากลองเสื้อผ้า ไม่ต้องหยิบทีละชุดมาลองสวมใส่อีกต่อไป แค่ยืนหน้ากระจก ก็สามารถกดสั่งให้เทคโนโลยีสแกนตัวเรา เอาเสื้อตัวนั้น เปลี่ยนสีตัวนี้ เอาไซด์ตัวโน้นให้มาอยู่บนตัวเราได้อย่างแนบเนียน (เหมือนเวลาเราออกแบบตัวละครในเกมเลย!)
Image Cr.: https://bit.ly/3ubFM9R
เกม Fortnite อันโด่งดัง ที่คนสามารถเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และขายของทำเงินได้ (บางคนทำเงินเลี้ยงชีพจากเกมนี้ได้จริงๆ!) ก็เป็นอีกหนึ่ง Metaverse ณ ปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงแล้ว
เรื่อง “เกม” ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่หลายบริษัทเข้ามาทำความรู้จัก โดยเฉพาะจีน คาดการณ์ว่าปี 2023 คนจีนจะมีคนเล่นเกมกว่า 800 ล้านคน ถึงขนาดมีสถาบันฝึกอบรมการเล่นเกม e-Sports แบบมืออาชีพ
ยังจำหนังเรื่อง Iron Man ภาค 2 ตอนที่ Tony Stark ค้นพบธาตุใหม่ได้ไหม?
Tony Stark สั่งปัญญาประดิษฐ์อย่าง Jarvis ให้สแกนสวนสนุกทั้งหมดภายในเวลาไม่กี่วินาทีออกมาเป็นโมเดล 3 มิติ แยกชิ้นส่วนโครงสร้างของสวน สั่งให้มันลอยเหนืออากาศ หมุนไปหมุนมา ซูมวัตถุบางชนิด เพื่อค้นหาปริศนาที่สวนทิ้งไว้…อนาคต(อันใกล้) เรามีแนวโน้มจะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน
Image Cr.: https://bit.ly/2M1SSFk
20 ปีที่แล้ว ใครจะคาดคิดว่าทุกวันนี้เราทำทุกอย่างอยู่บนมือถือเครื่องเล็กๆ ได้ทั้งทำงาน ถ่ายรูป อัดวิดีโอ ชำระเงิน สั่งอาหาร ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ
20 ปีจากนี้ Metaverse ที่ว่ามาทั้งหมดอาจเป็นจริงขึ้นมาก็ได้
Metaverse ของยักษ์ใหญ่
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก ตั้งแต่ Google, Facebook, Apple, Amazon, Microsoft, Tencent พยายามสร้าง “ระบบนิเวศ” ของตัวเอง ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว คุณภาพดีขึ้น และใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ใช้งานอย่างเราไม่สามารถหาทางออกจากระบบนี้ได้และอาจ ‘ไม่เต็มใจ’ ออกด้วยซ้ำ (ใครจะอยากเลิกเล่น Facebook?)
Apple คือเจ้าพ่อแห่งการสร้างระบบนิเวศของตัวเอง พวกเราทุกคนรู้จักโลกเสมือนนี้ดีผ่าน iCloud ที่เก็บข้อมูลส่วนตัวของเราทุกอย่าง App Store ที่ใครทำธุรกรรมแอปพลิเคชันจะต้องถูกหักส่วนแบ่งเสมอ รวมถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งหมดอย่าง iPhone / iPad / MacBook / AirPods / Apple Watch
Tesla บริษัทรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติซึ่งจะได้ข้อมูลพฤติกรรมของคนขับอย่างเรามหาศาล ล่าสุดก็ได้ลงทุนใน Bitcoin หรือเงินดิจิตอลกว่า 45,000 ล้านบาท ต่อไปเราก็สามารถซื้อรถเทสล่าและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัทด้วยเงินดิจิตอลบนจอมือถือได้
บริษัท Neuralink พึ่งฝังชิปในสมองลิงและให้มันเล่นเกมผ่านความคิดได้สำเร็จ ขั้นตอนปลายทางคือให้ทำแบบเดียวกันในมนุษย์ อนาคตเราอาจสามารถอัพโหลดข้อมูลเข้าสมองคนโดยตรง เช่น คนไม่ต้องเสียเวลานั่งอ่านหนังสือเป็นวันอีกต่อไป เพราะสามารถดาวน์โหลด E-book ลงบนสมองได้ภายในเวลาไม่วินาที
ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงก็แแทบจินตนาการไม่ออกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกับสังคมเราอย่างไร
ระบบการศึกษาจะเป็นยังไง ในเมื่อคุณป้อนข้อมูลเข้าหัวคนโดยตรง
ระบบกฎหมายจะเป็นยังไง ในเมื่อรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ชนคุณ ถูกแฮ็คควบคุมจากคนอีกซีกโลกนึง
ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์จะเป็นยังไง ในเมื่อเราใช้เวลาในโลกเสมือนมากกว่าโลกจริง
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ทั้งหมดนี้กำลังสร้างสะพานเชื่อมโลกจริง x โลกเสมือน เป็น Metaverse ขนาดมหึมาที่ต่อไปอาจใหญ่ไม่แพ้ Universe ของจริงก็เป็นได้..
โอกาสหรือวิกฤติ?
ผู้นำองค์กร(โดยเฉพาะยุคเก่า)ที่มีความ Conservative ต้องเปิดใจยอมรับว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว อย่ามองข้ามโอกาสการทำกำไรจากสินค้า-บริการบางอย่าง เพียงเพราะมัน “จับต้องไม่ได้” ไม่มีความน่าเชื่อถือ ดูไม่มีตัวตน…เงินทองที่คุณมีส่วนใหญ่ก็อยู่บนจอคอมพิวเตอร์มากกว่าชีวิตจริงซะอีก!
มองมุมหนึ่งมันคือ The Great Dispersion การกระจายตัวของสินค้า-บริการไปสู่ทุกหนทุกแห่งทั้งโลกจริงและโลกเสมือนอย่างแท้จริง! เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในยุค 5G เป็นต้นไป และต่อไปจะถูกคำนวณด้วยซูเปอร์ควอนตัมคอมพิวเตอร์
มองอีกมุม นี่อาจเป็น The Black Swan ที่พลิกโฉมโลกธุรกิจ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ นิยามการทำงานแห่งโลกศตวรรษที่ 21 (และปูทางสู่ศตวรรษที่ 22)
ไม่ว่าจะมองมุมไหน “Metaverse มาแน่”
แต่มันจะเป็นโอกาสหรือวิกฤติก็ขึ้นอยู่กับผู้นำองค์กรมองเห็น ให้ความสำคัญ เตรียมตัวพร้อมรับมือกับมันมากแค่ไหน
.
.
Metaverse จะยิ่งเพิ่มความหลากหลายของอาชีพ สิ่งสำคัญคือคุณยิ่งต้องรู้จักตัวเองว่าเหมาะกับสายอาชีพแนวไหน? ทดลองทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่กันเถอะ >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/
👉ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com
อ้างอิง
- หนังสือ Money: Vintage Minis โดย Yuval Noah Harari
- https://www.forbes.com/sites/cathyhackl/2020/07/19/a-day-in-the-metaverse/?sh=37eb7cc0fc6b
- https://www.businesstimes.com.sg/opinion/is-gaming-the-future-of-the-virtual-world
- https://builtin.com/media-gaming/what-is-metaverse