ต้องทำอย่างไร เมื่อลูกน้องขอลาออก

การลาออกเป็นเรื่องปกติ ใคร ๆ ก็ลาออกกันถ้าหากเริ่มรู้สึกว่างานที่ทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้ว หรือว่ารู้สึกว่าสังคมในที่ทำงานไม่ใช่ที่ของตัวเอง มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้คนทำงานอยากลาออก ถ้ามองในมุมของหัวหน้า ก็คงไม่อยากมีใครให้ลูกน้องออกหรอก แต่แล้วเราควรจะต้องทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหานี้ได้

“การลาออก” เรื่องปกติที่ทุกบริษัทต้องเจอ ยิ่งในยุคที่ทุกคนล้วนขวนขวายหาการเติบโตอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งพนักงานหลายคนยังตัดสินใจที่จะออกจากงานได้ง่ายขึ้น หากรู้สึกว่างานไม่เข้ากับตัวเอง ก็จะเริ่มที่จะหาที่ทำงานอื่นทันที และเหตุผลการออกจากงานก็ยังมีหลากหลายอีกด้วย

 

ซึ่งในชั่วโมงนี้ที่ทุกคนสามารถสมัครงานได้ง่าย มีช่องทางการสมัครหลากหลาย และแหล่งหาความรู้ออนไลน์มากมาย โอกาสในการย้ายหรือเปลี่ยนงานก็ยิ่งทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นบริษัทหรือองค์กรหลาย ๆ ที่ ก็ย่อมมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นที่จะเสียบุคลากรคุณภาพไป หากไม่ได้รักษาเขาไว้ได้ดีมากพอ

 

และถ้าคุณต้องเป็นเจ้านาย หรือมีลูกทีมของตัวเอง ก็คงไม่มีใครอยากให้ลูกทีมลาออก ยิ่งเป็นลูกทีมที่เก่ง มีความสามารถและสามารถทำงานออกมาได้ดี เรายิ่งไม่อยากให้พวกเขาลาออกอย่างแน่นอน แต่บอกเอาไว้เลยว่า ถ้าไม่รักษาเอาไว้ให้ดี บุคคลคุณภาพเหล่านี้ก็สามารถถูกดึงตัวไปยังบริษัทอื่น ๆ ได้โดยง่าย

 

วันนี้ CareerVisa จึงอยากจะมานำเสนอวิธีที่หัวหน้าควรทำ เมื่อได้รับสัญญาณว่าลูกน้องของตัวเองอยากลาออก ลองมาดูตัวอย่างวิธีคร่าว ๆ กัน ว่าเราสามารถลองทำอย่างไรได้บ้าง

 

[5 วิธี ป้องกันไม่ให้ลูกน้องลาออก]

1) มอบโอกาสในหน้าที่การงานใหม่ ๆ : สาเหตุใหญ่ที่คนทำงานลาออกไปที่อื่น คือการได้รับโอกาสในหน้าที่การงานใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ หรือได้รับการเติบโตที่มากกว่า ด้วยเหตุผลนี้ หัวหน้าจึงควรเช็กลูกน้องอยู่เสมอว่า ลูกน้องเรามีความสุขกับการทำงานแบบไหน มีการวางแผน Career Path เอาไว้แบบไหน อยากเติบโตอย่างไร และเมื่อมีโอกาสการเติบโตในหน้าที่การงานใหม่ ๆ ในบริษัท ก็อย่าลืมที่จะเสนอหรือชักชวนลูกน้องของตัวเองให้ได้ทำงานในตำแหน่งนั้น ๆ เพื่อเป็นการต่อยอดการเติบโตในบริษัทให้กับเขา

 

2) จ่ายเงินให้คุ้มค่ากับงานที่ลูกน้องทำ : ผลตอบแทนคือสิ่งสำคัญแทบจะเป็นอันดับต้น ๆ ของการเลือกงาน พนักงานหลายคนเลือกที่จะเลือกตำแหน่งหรือบริษัทที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า หรือคุ้มกับการทำงานมากกว่า เพราะฉะนั้นบริษัทควรจะต้องยุติธรรมกับการมอบผลตอบแทนหรือเงินที่ให้พนักงานคนหนึ่ง หากเรารู้ว่าพนักงานคนนี้มีความพยายามและทำงานหนัก ก็อย่าลืมมอบผลตอบแทนที่เหมาะสมให้กับเขา เพื่อเป็นการเคารพในความพยายามของพนักงานคนนั้น ๆ

 

3) ให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตของลูกน้อง : หมั่นคอยสังเกตลูกน้องของตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะสุขภาพกายและจิต หากรู้ว่าลูกน้องมีปัญหาด้านสุขภาพ หรือต้องการความช่วยเหลือด้านใดก็ตามเกี่ยวกับสุขภาพและอารมณ์ อย่ามองข้ามจุด ๆ นั้น แต่ให้มอบความช่วยเหลือให้ได้เท่าที่จะทำได้ เพราะเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และมีผลกระทบอย่างสูงในการทำงานในที่นั้น ๆ

 

4) ทำความเข้าใจลูกน้องให้ได้มากที่สุด : เจ้านายหรือหัวหน้าหลายคน มักจะไม่เข้าใจความคิดหรือมุมมองของลูกน้อง และพยายามมอบความคิดของตัวเองให้กับลูกน้องของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้ก็จะทำให้การทำงานยิ่งยากขึ้นสำหรับลูกน้องคนนั้น ๆ สุดท้ายแล้วการที่ไม่ได้รับการเข้าใจจากหัวหน้า ก็จะทำให้ลูกน้องตัดสินใจที่จะลาออกไปหาทีมที่เข้าใจในตัวเองมากกว่านั่นเอง

 

5) มอบคำชมให้กับลูกน้อง : ไม่มีใครอยากทำงานโดยไม่ได้รับคำชมเลย ทุกคนล้วนอยากได้รับกำลังใจเพื่อที่จะได้สร้างสรรค์งานต่ออย่างมีคุณภาพและมีแรงผลักดันให้อยากทำงานมากขึ้น เพราะฉะนั้นการมอบคำชมเมื่อลูกน้องทำงานออกมาได้ดี หรือส่งมอบงานที่ตรงตามที่ต้องการ ก็คือเรื่องที่สำคัญที่หัวหน้าที่ดีควรทำเพื่อไม่ให้ลูกน้องคนหนึ่งหมดกำลังใจและลาออกไปในที่สุด

 

 

การลาออกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ถ้าเราไม่อยากเสียบุคลากรคุณภาพไปจากบริษัท อย่าลืมเรียนรู้ที่จะรักษาเขาเอาไว้ มีหลายวิธีมาก ๆ ที่เราจะสามารถสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรที่น่าอยู่ และมอบการเติบโตให้กับพนักงานได้ อย่าลืมรักษาคนที่มีความสามารถกันไว้ให้ดีนะ

 

 

อ้างอิง : https://www.jobvite.com/blog/employment-branding/how-to-prevent-your-employees-from-leaving/

Author

  • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

คำทรงพลัง

ใช้ “คำทรงพลัง” ให้เป็น…การงานโตระเบิด!!

จากแม่บ้านโรคซึมเศร้า สู่เจ้าของ Auntie Anne’s

ไปเดตกันไหมครับ VS. ผมรู้จักพาสต้าอร่อยมากอยู่ร้านนึง ไปทานด้วยกันไหมครับ

ครัวซองค์ร้านอื่นธรรมดาไปเลย…เมื่อมาเจอครัวซองค์แสนอร่อยของร้านนี้”

บริหารคนในองค์กรให้เหมือนทีมฟุตบอล

เรื่องนี้มีแค่คุณเท่านั้นนะครับที่จะได้รู้

Toxic Productivity

Toxic Productivity : คลั่งโปรดักทีฟเกินไป อาจพาชีวิตพัง

ทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีจุดสมดุล (Equilibrium) อะไรที่ “มากเกินไป” สุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเรา เคสของ Toxic Productivity ก็เช่นกัน การทำงานก็เช่นกัน…ถ้าทำหนักเกินไป ใจจดจ่ออยู่กับมันทุกวินาทีเสมือนมันคือชีวิตทั้งหมดของเรา ย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี เราเรียกมันว่า “Toxic Productivity” ภัยเงียบที่คุณไม่รู้ตัว  เพราะโลกธุรกิจเราโอบกอดระบบทุนนิยม โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Perpetual Growth) เป็นหมุดหมายที่ทุกองค์กรต้องทำให้ได้ การสร้างผลผลิต (Productivity) ให้ได้มากที่สุดจึงเป็นของคู่กัน  แถมในมุมของนายจ้าง ก็ต้องการใช้งานพนักงานให้คุ้มค่าที่สุด (Maximize capacity) แต่การหมกมุ่นโปรดักทีฟเกินไป นำไปสู่ Toxic Productivity ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ หรือกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเล่นกับลูกที่ยังเล็กอยู่ และเผลอมองนาฬิกาเพื่อดูว่า “มีเวลาเหลืออีกกี่นาที”  ในการได้เล่น…ถ้าถึงขั้นนั้นคุณอาจต้องหันกลับมาพิจารณาวิธีการทำงานใหม่ได้แล้ว และในแง่ตัวเลข ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยของพนักงานอาจพุ่งไปสูงถึง 80-90 ชม./สัปดาห์ จะดีกว่าไหมถ้าทำงานอย่างสมดุลพอเหมาะ…โดยยังรักษาสุขภาพ / ความสัมพันธ์ / สังคม / หรือการได้เดินตามความฝันของตัวเอง ผลวิจัยมากมายยังระบุไปในทางเดียวกันว่า Toxic Productivity ยังเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ Burnout Syndrome อาการหมดไฟในการทำงานของชาวอเมริกัน สัญญาณของ Toxic Productivity ? เมื่องานหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบ “ไม่มีการเฉลิมฉลอง” ขอบคุณให้กำลังใจ แต่กลับตั้งเป็นมาตรฐานใหม่ ทุกคนโอเครับรู้แล้วก็รีบกลับไปทำงานต่อ เพื่อให้มาตรฐานสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาพักผ่อน (หรือควรพักได้แล้ว) กลับยังเสพเนื้อหาเกี่ยวกับงาน (เช่น อ่านรายงาน) ราวกับไม่ยอมให้สมองได้หยุดพักแม้ครู่เดียว หรือไปชงกาแฟมาดื่มเพื่อเตรียมลุยงานต่อ กิจกรรมผ่อนคลายเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ได้เพิ่ม Productivity ทางตรง แต่หวังกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีม…ถูกมองเป็น “ค่าเสียโอกาส” (และเสียเวลา) ไปซะหมด ไม่เป็นตัวของตัวเอง ต้องพยายามเสแสร้งทำตัวเป็นคนขยัน ยุ่ง เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา เพราะเดี๋ยวถูกมองว่าเอื่อยเฉื่อยไม่โปรดักทีฟ หรือความรู้สึก “กลัววันจันทร์” ที่แว่บเข้ามาเพราะกลับไปประสบกับวงจรเดิม เราจะป้องกัน Toxic Productivity ได้อย่างไร ? ผู้นำองค์กรสามารถออกแบบนโยบายการทำงานที่จำกัดเวลาการทำงานของพนักงานอย่างเข้มงวด เช่น ไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์ หรืออาจสร้างเป็นวัฒนธรรมองค์กร เช่น ไม่มีการทำ OT แบบวัฒนธรรมการทำงานของชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ประเด็นนี้ ภาครัฐก็มีส่วนเกี่ยวข้องไม่น้อย เช่น รัฐบาลเยอรมันมีแผนที่จะออกกฎหมาย “ห้ามบริษัทส่ง Email เรื่องงานหลัง 6 โมงเย็น” บริษัทใดที่ทำจะมีความผิดตามกฎหมาย และพนักงานคนนั้นจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย…ซึ่งน่าจะช่วยลด Toxic Productivity ได้ไม่มากก็น้อย ข้างนอกจะเปลี่ยนได้…ข้างในต้องเปลี่ยนก่อน มันอาจไม่แฟร์เลยที่จะนำเรื่องงานมา “กำหนดคุณค่า” ในชีวิต เพราะชีวิตมีหลายด้าน Adam Grant นักจิตวิทยาชื่อดังชาวอเมริกันเตือนสติว่า ให้แยกระหว่าง “การกระทำของคุณ VS. ตัวตนของคุณ” ตัวตนของคุณคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ อย่าให้การกระทำมาปะปนกับเรื่องนี้ “งานไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต” คำนี้ยังคงเป็นจริงไม่น้อยในหลายบริบท นอกจากนี้ เราอาจปรับเปลี่ยนเป้าหมายและความคาดหวังใหม่ให้สอดคล้องกับโลกความจริงหรือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนไปแล้วก็ช่วยได้ไม่น้อย ต้องไม่ลืมว่า “คนรอบตัว” ก็ช่วยเราได้มากกว่าที่คิด ควรเปิดใจและหาโอกาสพูดคุยให้มากๆ เพราะบางครั้งเป็นคุณเองที่เริ่มข้ามเส้นเอาการงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัว เช่น ยกเลิกนัดรวมกลุ่มเพื่อนสนิทติดต่อกันถึง 3 รอบเพราะเรื่องงาน เชื่อเลยว่าเพื่อนสนิทของคุณไม่มีใครโอเคกับเรื่องนี้แน่นอน จะลุยงานหนักได้…ร่างกายต้องพร้อม อย่าลืมดูแลสุขภาพตัวเองโดยการตั้ง แผนการออกกำลังกายที่ประนีประนอมไม่ได้ (Uncompromised Workout) เช่น วิ่งสัปดาห์ละ 3 วันๆ ละ 45 นาทีอย่างต่ำ แม้มีงานหนักแค่ไหน ก็ต้องเจียดเวลาให้กับกิจกรรมนี้ Elizabeth Blackburn ผู้ได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์และผู้เขียนหนังสือ The Telomere Effect เผยข้อเท็จจริงที่ฟังดูย้อนแย้งว่า  “เวลาที่คุณควรออกกำลังกายมากที่สุด คือ เวลาที่คุณรู้สึกไม่อยากออก” เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกาย จะเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารที่เรารู้จักในชื่อ “สารแห่งความสุข” คุณจะรู้สึกผ่อนคลาย สมองไหลลื่นโล่งปลอดโปร่ง พร้อมกลับมาลุยงานใหม่ในเวอร์ชั่นที่ฟิตกว่าเดิม  และสารนี้เองที่หลั่งขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้เรารู้สึกอยากออกกำลังกายมากขึ้น…วนลูปวงจรด้านบวก . . สุดท้ายแล้ว ความขยัน-ความโปรดักทีฟเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีในการเติบโตขององค์กร เพียงแต่เราต้องหา “จุดสมดุล” ให้เจอ หาทางควบคุมตัวเอง รู้ลิมิตตัวเอง บางที การเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่หวือหวาแต่มั่นคง พร้อมๆ กับมีความสุขในการทำงาน…น่าจะเป็นจุดสมดุลที่หลายคนมองหาจริงๆ . . ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ จะได้ทำงานอย่างมีความสุขในทุกๆ วัน >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/ ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/ อ้างอิง Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 38