
Transformative Learning Theory ให้ความสำคัญกับ
ระบบการเรียนรู้ที่เปลี่ยนให้กลายเป็นคนใหม่ เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ความเชื่อ มุมมองภายในตัวเอง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงการกระทำ และบูรณาการสู่ชีวิต
นี่เป็นหนึ่งทฤษฎีที่อยากให้ผู้บริหาร หรือ HR ที่กำลังมองหาเครื่องมือหรือหลักสูตรในการ Transform พนักงาน หรือทำ People Transformation ไปสู่ยุคดิจิทัล หรือความปกติใหม่ (New Normal) ของตัวเองแบบที่ไม่เสียเงินเปล่า แต่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจริงๆในยุค New Normal แบบนี้
กระบวนการเรียนรู้ที่ออกแบบได้ดีจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้สร้าง Impact เชิงบวกทั้งในระดับบุคคลเองและในระดับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ สิ่งต่างๆ ในโลก หรือมุมมองภายในบุคคล
เหมือนเวลาที่ CareerVisa ให้ช่วยคนทำงานในการออกแบบอาชีพ (Career Design) ของตัวเอง เราต้องเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของคน ผ่านการกลั่นกรองอย่างลึกซึ้ง เปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม (Holistic) ทั้งเนื้อทั้งตัวและหัวใจไปเลย
แล้วปกติองค์กรต้องการเปลี่ยนอะไรในตัวพนักงานบ้าง?
- โลกทัศน์
- ความรู้ความเข้าใจ
- พฤติกรรม
ผู้บริหาร หรือฝ่ายบุคคล จะเปลี่ยนแปลงพนักงานได้ยังไง?
ในการออกแบบการเปลี่ยนแปลงผ่านการเรียนรู้ (Transformative Learning) มี Core Element หลัก 6 ข้อ ในการสร้างการเปลี่ยนแปลง คือ
- ประสบการณ์ของคน ประสบการณ์ที่ผ่านมาคือที่คนอื่นมอบให้ ดีไม่ดี หรือสร้างประสบการณ์ด้วยตัวเองก็ได้ โดยจะเป็นข้อมูลสำหรับนำมาพูดคุยแลกเปลี่ยนการตีความ หรือสะท้อนคิด เพื่อตรวจสอบและทำความเข้าใจระบบคุณค่าของแต่ละคน
- สะท้อนความคิด (Reflection) มี 3 ขั้นตอน เวลาที่ให้พนักงาน Reflect การเรียนรู้ก็ต้องให้ถึง 3 ขั้นนี้
Content Reflection จะนำคำถามด้วย What เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่เราได้ทำมามีอะไรบ้าง เหมือนการเล่าประสบการณ์ในวันนั้น เพื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น
Process Reflection จะนำด้วยคำถาม How เพื่อเข้าในว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นหรือกระบวนการในวันนั้นทำอย่างไร เกิดความรู้สึกอะไร
Premise Reflection จะนำด้วยคำถาม Why เพื่อทำความเข้าใจว่า เพราะอะไรถึงมีความรู้สึกแบบนั้น เพื่อให้เกิดการเข้าใจตัวตนเชิงลึกของตนเอง และสร้างให้เกิดการตรวจสอบความเชื่อ หรือคุณค่าเดิม โดยนี่เป็นรูปแบบของการสะท้อนคิดที่เรารู้จักและใช้กันน้อยที่สุด
Note : ความรู้สึก คือ รู้สึกชอบ รู้สึกผิด แบบนี้เรียกว่าความรู้สึก แต่ “รู้สึกว่า…” อันนี้คือความคิด ไม่ใช่ความรู้สึก
- Dialogue หรือสุนทรียสนทนา สุนทรียสนทนาจะช่วยให้มีการตรวจสอบและเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ภายในใจของแต่ละคนออกมา นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งส่วนบุคคล(Personal Transformation) และการเปลี่ยนแปลงปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในกลุ่ม (Social Transformation) เป็นหลักการตั้งคำถามตั้งแต่ผิว แล้วค่อยๆเจาะเพื่อให้คายสิ่งที่คนเชื่อ หรือคุณค่าที่มีออกมา
- มุมมองที่รอบด้าน การคิดแบบ “Analyze-Think-Change” ไม่มีผลเท่ากับ “See-Feel-Change” เห็นตัวอย่าง รู้สึกว่าอยากจะเปลี่ยน ถึงจะเปลี่ยนได้ และมีคำอธิบายทางสรีรวิทยาว่า กระบวนการเรียนรู้กับอารมณ์มีความสัมพันธ์กัน เราจะสังเกตเห็นว่าเราจะจดจำเหตุการณ์ที่ก่ออารมณ์รุนแรงหรือความเจ็บปวดที่รุนแรงได้ไม่รู้ลืม
- บริบท การให้ความสำคัญต่อบริบท เป็นการทำความเข้าใจเชิงลึกต่อปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยเชิงสังคมและวัฒนธรรม ทำให้เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แคบหรือไม่แยกส่วนจากความเป็นจริงบางคนอาจจะเข้าใจเรื่องได้ดี แต่บางคนอาจจะเข้าใจได้ช้า เป็นเรื่องปกติของเรื่องนี้ เช่น ผู้เรียนมีเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจในอดีต หรือครูผู้สอนมีความเกี่ยวข้องกับผู้เรียนยังไง
- ความสัมพันธ์ที่จริงใจ Transformative Learning ไม่สามารถทำคนเดียวได้ มันคือการเดินทางที่ต้องมีคนเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกัน ไม่ได้เปลี่ยนผ่านแบบวันนี้พรุ่งนี้เปลี่ยน ต้องมีคนคอยไกด์ คอยเดินทางไปคู่กัน เพราะคนต้องการความมั่นคงในการเปลี่ยนแปลง
เวลาออกแบบหลักสูตรหรือจัด Training, Workshop หรือ Development Program ต่างๆ หากออกแบบโดยคำนึงถึง Core Element 6 อย่างนี้ ก็จะเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนแปลงทีมงานได้มากขึ้น
วงจรการ Transform คน แบ่งเป็น 10 เฟส
ก่อนจะส่งพนักงานไปอบรมแล้วหวังว่าพนักงานจะเปลี่ยน อยากชวนมาดูแนวคิด Meziros’s 10 Phases ที่ศึกษาวงจรการ Transform ตัวเองของมนุษย์ เชื่อว่า ต้องเกิดภาวะวิกฤติก่อนคนจึงจะเปลี่ยนตัวเองทั้งทัศนคติ ความรู้ทักษะ และพฤติกรรมแบบที่องค์กรคาดหวัง
วิกฤตหรือเหตุการณ์ในชีวิตทำให้คนทำให้สับสนในตัวเอง หลังจากนั้นพนักงานจะเริ่มตรวจสอบความรู้สึกตัวเอง เริ่มประเมินสมมติฐานต่างๆ เริ่มสันนิษฐานว่า “คนอย่างเราเนี่ยมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับชีวิตได้ยังไง?” ซึ่งในปี 2020 นี้ หลายองค์กรและพนักงานหลายคนคงจะได้สัมผัสกับวิกฤตที่ว่านี้ด้วยตัวเองกันแล้วแน่นอน
จากนั้นพนักงานก็จะเริ่มตั้งคำถามและสะท้อนคิดกับตัวเอง เริ่มวิพากษ์ และยอมรับความทุกข์หรือความไม่สบายใจ เริ่มสำรวจบทบาทใหม่ๆ หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้วิพากษ์และยอมรับตัวเองแล้ว นำความรู้ใหม่ๆไปใช้กับชีวิต
จากนั้นจะเริ่มวางแผนเพื่อไปสู่สิ่งใหม่ๆ ความสัมพันธ์ใหม่ หรืองานใหม่ และหาทาง Acquire ความรู้ใหม่ๆ เพื่อให้แผนสำเร็จ เริ่มทดลองทำบทบาทใหม่ เพื่อให้เข้าใจและปรับตัวกับบทบาทใหม่ได้
พนักงานจะเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น สร้าง competency ใหม่ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจ และสุดท้ายก็จะเปลี่ยนแปลงได้จริง และวนลูปใหม่หากเจอกับเหตุการณ์ใหม่อีก โดยแบ่งเป็น 10 เฟส ดังนี้
เฟส 1 : ภาวะวิกฤติที่ทำให้สับสน (Disorienting Dilemma)
พนักงานได้เจอวิกฤติหรือเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญในชีวิต เช่น การโดนพักงาน Leave without Pay การโดนลดเงินเดือน การโดน layoff ฟีดแบคในการทำงานที่ตรงประเด็นมากพอ หรือไปกระทั่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการสูญเสียคนในครอบครัว
เฟส 2 : ตรวจสอบความรู้สึกของตน (Self-Examination with Feelings of Fear, Anger, Guilt, or Shame)
จากวิกฤติหรือฟีดแบคที่เจอ พนักงานเริ่มรู้สึกไม่มั่นคง สับสน และได้คิดกับตัวเอง พิจารณาความรู้สึกตัวเองที่มีต่อสถานการณ์ของบริษัทหรือตำแหน่งงานของตัวเอง เช่น ความรู้สึกกลัว โกรธ เสียใจ
เฟส 3 : ประเมินสมมติฐานต่างๆ อย่างจริงจัง (Critical Assessment of Assumptions)
พนักงานเริ่มคิดวิเคราะห์และเช็คความเชื่อหรือ Assumption ของตัวเอง คิดหาเหตุผลอย่างเปิดใจยอมรับผ่านการตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) และการสะท้อนคิดเชิงวิพากษ์กับตัวเองมากขึ้นถึงที่มาของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หรือฟีดแบคที่ได้รับ
เฟส 4 : ยอมรับความทุกข์หรือความไม่พอใจและการแลกเปลี่ยนกระบวนการเปลี่ยนแปลงกับบุคคลอื่น (Recognition of One’s Discontent and the Process of Transformation are Shared)
เมื่อพนักงานเข้าใจและยอมรับต่อความทุกข์ ความไม่สบายใจ หรือความไม่พอใจของตนอย่างลึกซึ้งและแท้จริงแล้ว ก็จะหาทางเล่าหรือแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงกับคนอื่น อาจจะเป็นหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือฝ่ายบุคคล เพื่อปรึกษาหาทางแก้ไขและพัฒนาตัวเอง
เฟส 5 : สำรวจหาบทบาทใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่ และการปฏิบัติใหม่ (Exploration of Options for New Roles, Relationships, and Actions)
ในขั้นนี้ พนักงานเปลี่ยนความเชื่อ ปรับ Mindset ตัวเองใหม่แล้ว และเริ่มคิดว่าจะทำยังไงถึงจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริง จะเห็นว่ากว่าจะเปลี่ยน Mindset ได้ ก็ต้องผ่านมาแล้ว 4 ขั้น ดังนั้นมันจะไม่ใช่ว่าส่งไปเรียนออนไลน์ 3 ชั่วโมงแล้วจะเปลี่ยน Mindset ได้ทันที โดยส่วนมากจะได้แค่กระบวนการในการปรับ Mindset ตัวเองเท่านั้น ซึ่งในแนวคิดนี้จะแนะนำให้ทำเมื่อพนักงานได้ไปอยู่ในเฟสที่ 7
เฟส 6 : วางแผนปฏิบัติ (Planning a Course of Action)
พนักงานจะวางแผนแนวทาง หรือ Individual Development Plan หรือ Action Plan เพื่อนำไปสู่บทบาทใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่ หรือพฤติกรรมใหม่ๆ โดยอาจวางแผนเอง หรือทำร่วมกับหัวหน้างานและฝ่ายบุคคล
เฟส 7 : หาความรู้และทักษะเพื่อบรรลุแผน (Acquire Knowledge and Skills for Implementing One’s Plan)
ในบทบาทใหม่ ความสัมพันธ์ใหม่ หรือพฤติกรรมใหม่นั้น หัวหน้างานหรือฝ่ายบุคคล อาจต้องสนับสนุนในการพัฒนาความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องเพื่อการดำเนินตามแผนแนวทางการพัฒนา หรือ Action Plan ที่กำหนดไว้ เพราะเป็นไปได้ว่าพฤติกรรมใหม่ต้องใช้ความรู้และทักษะชุดใหม่ด้วย นี่คือขั้นที่การ Upskill & Reskill เข้ามามีบทบาท
จะสังเกตว่า กว่าจะมาถึงขั้นการ Training พนักงานต้องผ่านมาแล้ว 6 เฟสด้วยกัน ถึงจะเรียนไปแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงจริง มากกว่าเรียนไปแล้วไม่ได้นำไปใช้
เฟส 8 : ทดลองบทบาทใหม่ (Provisional Trying of New Roles)
การได้ลองสวมบทบาทใหม่ ได้รับมอบหมายงานใหม่ๆ มีความสัมพันธ์ใหม่กับทีมงานที่หลากหลาย และการได้ลงมือทำสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้พนักงานเรียนรู้และปรับวิสัยทัศน์ ทัศนคติ ความรู้ทักษะ และพฤติกรรมตัวเองจนเข้าที่ และได้นำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้จริง
เฟส 9 : สร้างสมรรถนะและความมั่นใจต่อบทบาทใหม่ (Building Competence/Confidence in New Roles and Relationships)
ตอนนี้ก็เหลือแค่การสร้างความมั่นใจในบทบาทใหม่และความสัมพันธ์ใหม่แก่พนักงานแล้ว โดยหัวหน้างานและฝ่ายบุคคลอาจคิดโปรแกรมต่างๆ หรือให้ฟีดแบคเชิงบวกที่ทำให้พนักงานมีกำลังใจมากขึ้นต่อการ Transform ตัวเองในครั้งนี้
เฟส 10 : นำโลกทัศน์ใหม่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง (A Reintegration into One’s Life on the Basis of Conditions Dictated by One’s New Perspective)
ขั้น Advance ที่สุดคือพนักงานเอามุมมอง ทัศนคติ ทักษะ หรือพฤติกรรมนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันนอกเหนือจากการทำงานด้วย ก็จะทำให้การเปลี่ยนแปลงยั่งยืนขึ้น
หน้าที่ของหัวหน้างาน หรือฝ่ายบุคคล คือสนับสนุนให้พนักงานก้าวผ่านแต่ละเฟสได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างพนักงานประเภท 1 : ทำงานแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือ Deadwood หลายคนมักจะตกอยู่ในเฟสที่ 1-4 เป็นเวลานาน หรือบางคนอาจไม่เคยผ่านเฟส 1 เลย ไม่เคยตระหนักเลยว่า ทำไมต้องเปลี่ยนแปลง? ดังนั้นเขาจึงไม่เปลี่ยน
ตัวอย่างพนักงานประเภท 2 : รักบริษัท อยู่มานาน แต่ไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ทัน คนเหล่านี้ทัศนคติดี พร้อมจะเปลี่ยน แต่มักตกอยู่ในเฟสที่ 5-9 ขาดแผนการพัฒนาตัวเองที่เหมาะสม และการให้ความรู้และทักษะที่เพียงพอในการทำงานในบทบาทใหม่ รวมถึงขาดความมั่นใจในการก้าวออกจาก Comfort Zone การสนับสนุนจากหัวหน้างานและ HR ก็จะต้องผลักดันในเฟสที่ยังก้าวข้ามไม่ได้ก่อน
ตัวอย่างพนักงานประเภท 3 : Talent หรือ A-Player ขององค์กร คนเหล่านี้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง และยังสามารถเรียนรู้ทักษะใหม่ๆได้อย่างรวดเร็ว มักจะมีความสามารถในการก้าวข้ามแต่ละเฟสได้เร็วกว่าคนอื่น รู้ตัวว่าต้องเปลี่ยนก่อนคนอื่น วางแผนได้เฉียบขาดกว่า และขวนขวายในการหาความรู้ใหม่ๆมากกว่ากลุ่มอื่น ทำให้คุ้นชินกับการพัฒนาตัวเองอยู่แล้ว อยู่ในเฟส 10 ทำจนเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว และยังได้รับการสนับสนุนที่ดีจากองค์กรอีกด้วย
เทคนิคการพัฒนาพนักงานในยุค New Normal นี้ สิ่งสำคัญคือ ต้องทำให้ Speed ของการ Transformation ตัวเองของพนักงานใน 10 เฟสนี้วนลูปเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ตัวพนักงานสามารถรรับรู้ถึงวิฤกติ ยอมรับ และปรับเปลี่ยน (Adaptivitiy) ได้เร็วขึ้น เพราะต้องอยู่กับความไม่แน่นอนสูงและสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงเร็วมากกว่าปีที่แล้วไม่รู้กี่เท่าตัว