ในฐานะหัวหน้าแบบเราๆ ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ลูกน้องในทีม” มีผลต่อความสุขในการมาทำงานและการเติบโตไปพร้อมกันในฐานะทีม
แต่การที่ 2 คนนี้จะมา match ตรงกันเป๊ะๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยาก เพราะในชีวิตจริงย่อมเกิด conflict กระทบกระทั่งกันอยู่แล้ว เพราะคนเรามาจากแบคกราวด์ต่างกัน ไม่มีทางที่เราจะคิดเหมือนกัน ไม่มีทางที่จะโอเคกับเราทุกเรื่องหรอก และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของลูกน้องที่เราอาจจะรู้สึก “ไม่ถูกจริต”
นอกจากจัดการเรื่องงานแล้ว เป็นหน้าที่ของหัวหน้าแบบเราๆ ที่ต้องจัดการความสัมพันธ์กับลูกน้องแบบมืออาชีพด้วย!
ให้ มากกว่า รับ
ขึ้นชื่อว่าหัวหน้า ตำแหน่งนี้มาพร้อมความเป็นผู้นำ เป็นฝ่ายรุก ฝ่ายเปิดในแก้ conflict ความไม่ลงรอยกันกับลูกน้อง
เรื่องนี้เริ่มได้ที่ตัวเรา หัวหน้าต้องเป็นคนที่ยื่นหน้า “รับผิด” เมื่อเกิดปัญหาขึ้น แสดงให้เห็นว่าตัวเองคือผู้นำที่พร้อมปกป้องลูกน้อง
ขณะเดียวกัน เมื่อเกิดความสำเร็จร่วมกัน หัวหน้าก็ต้องนำเอา “รับชอบ” ไปแบ่งให้ลูกน้องด้วย! วิธีนี้ถึงจะซื้อใจลูกทีมในระยะยาวได้ต่างหาก
คุยแบบเปิดอก
Conflict หลายอย่างแก้ได้ด้วยการพูดคุยกันก่อนที่มันจะบานปลาย หัวหน้าต้องมีสกิล Deep listening เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ด่วนตัดสิน ทำยังไงก็ได้ให้ลูกน้องรู้สึกว่าคุณคือพื้นที่ปลอดภัยที่แชร์อะไรให้ได้
ให้หัวหน้าลองเปิดการทำ Deep conversation คุยกันแบบเปิดอกแบบลุ่มลึก ที่ถ้าเป็นไปได้ อาจไม่ได้จำกัดแค่เรื่องงาน แต่ครอบคลุมเรื่องส่วนตัวบางเรื่องด้วยที่สร้างแดมเมจ
ผลวิจัยเผยว่า การที่คนเราจะ Trust ไว้วางใจกันได้นั้น มักเกิดจากการผ่าน deep conversation มาก่อนบ้างแล้ว เปิดใจกัน รู้ใจกัน รู้ไส้ในกัน
มี Empathy เข้าไว้
หัวหน้าต้องเก่งคนไม่แพ้เก่งงาน แต่การจะเก่งเรื่องคนได้ต้องมีสกิล Empathy หรือความเห็นอกเห็นใจ
ลูกน้องไม่ชอบ? บางทีไม่ใช่เพราะลูกน้องไม่ใช่คนไม่ดีหรือทำงานแย่ คุณอาจแค่ไม่ชอบบุคลิก สไตล์การพูดจาบางอย่างของเขา หรือแม้แต่เขาแค่มีคาแรคเตอร์ไม่ตรงตามที่ใจคุณหวังก็เท่านั้นเองรึเปล่า?
ให้ลองคิดว่าถ้าคุณต้องเป็นลูกน้องคนนั้นล่ะ…คุณจะรู้สึกหรือประพฤติตัวยังไง?
ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราดู บางทีลูกน้องคนนี้มีปัญหาครอบครัวที่กระทบการทำงานรึเปล่า? งานหนักเกินไปแบบไม่แฟร์รึเปล่า? หรือได้รับผลตอบแทนไม่เป็นธรรมรึเปล่า?
หัวหน้าที่มี Empathy เท่านั้นถึงจะรู้เรื่องนี้ ก่อนลงมือหา Solutions ให้
อย่า Micro Management
หัวหน้ามีบทบาทออกคำสั่งและ assign งานก็จริง แต่บางเคสที่คุณรู้สึกไม่ชอบลูกน้อง (และลูกน้องก็ไม่ชอบคุณ) อาจมีสาเหตุจากตัวหัวหน้าเองรึเปล่า? ที่มักเผลอไป Micro manage จุกจิก
หัวหน้าควรมองแค่ภาพกว้าง วางวิสัยทัศน์ คอยซัพพพอร์ตอยู่ห่างๆ แต่ต้องไม่ลงลึก จ้ำจี้จุกจิกให้ทำตาม 1-2-3-4 ไปซะทุกเรื่อง เพราะนอกจากจะไม่มีประสิทธิภาพแล้ว ยังทำให้เกิดบรรยากาศ Toxic ในที่ทำงานด้วย
ต้องฟาดซะบ้าง
สำหรับลูกน้องที่มีปัญหา ถ้าคุณพยายามทำดี พยายามปลุกปั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรไปหมดแล้ว แต่ลูกน้องคนนี้ยังไม่มีท่าทีเปลี่ยนพฤติกรรม บางทีอาจถึงเวลาที่คุณต้อง exercise power ออกคำสั่งแบบเด็ดขาด หรือมีบทลงโทษที่เข้มงวด แต่ก็ต้องเป็นไปอย่าง make sense มีความชอบธรรม มีเหตุผลรองรับ
เพราะบางทีการที่คนเราถูกลงโทษไปดอกนึงแบบจุกๆ ก็เป็นบทเรียนที่ชวนกลับตัวกลับใจได้เช่นกัน
ไปขอคำแนะนำจากลูกน้อง
เทคนิคนี้เผยว่า ตัวหัวหน้าเองไม่มีอีโก้ในการไปขอคำแนะนำ และเป็นการสร้างความรู้สึก Open-minded ไปในตัวให้ลูกน้องเห็น
นอกจากนี้ในทางจิตวิทยา เมื่อคนเราให้คำแนะนำ เมื่อลูกน้องให้คำแนะนำหัวหน้า ลูกน้องจะรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า voice ของตัวเองถูกได้ยินถูกมองเห็น และจะเยี่ยมไปมากกว่านี้ ถ้าหัวหน้านำคำแนะนำของลูกน้องไปต่อยอดเป็นไอเดียเจ๋งๆ และให้ credit กลางที่ประชุมต่อหน้าคนอื่นในทีม เชื่อเลยว่าจากคนที่ไม่ชอบหน้า อาจเปลี่ยนมาเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดเลยก็ได้!
การบริหารความสัมพันธ์ในทีม โดยเฉพาะลูกน้องที่ไม่ถูกจริตกัน เป็น Art & Science ที่ถ้าหัวหน้าแบบคุณทำได้ล่ะก็ ทั้งทีมก็คงโตระเบิด และที่แน่ๆ ทุกคนมาทำงานแบบแฮปปี้
อ้างอิง