Deep Focus : 5 วิธีโฟกัส สู่ผลงานอันเป็นเลิศ

Deep Focus
งานอันยิ่งใหญ่ที่สำเร็จลุล่วงด้วยดี ล้วนมาจากพลานุภาพของการ “โฟกัส” ซึ่งการจดจ่อมีสมาธิอย่างที่สุด คือช่วงที่สมองแล่นเฟ้นศักยภาพการทำงานออกมาได้มากที่สุดอีกด้วย นี่ยังเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของการ “ทำน้อยให้ได้มาก” นำไปสู่ชีวิตที่สมดุลขึ้นและผลงานอันเป็นเลิศ

Deep Focus คืออะไร ?

Deep Focus คือภาวะที่มีสมาธิและความจดจ่อสูงสุดกับงานใดงานหนึ่งเป็นเวลานาน โดยไม่มีสิ่งรบกวน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและคุณภาพของผลลัพธ์

ไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่า เมื่อเราควบคุมการโฟกัสให้มีประสิทธิภาพได้…ผลงานย่อมออกมาดี ตามไปพบกับ “5 วิธีโฟกัส สู่ผลงานอันเป็นเลิศ” กัน

1. นอน

    Michael Breus แพทย์เชี่ยวชาญด้านการนอนเผยว่า สมาธิจดจ่อในการทำงานจะลดน้อยถอยลงอย่างมากเมื่อคนเราขาดการนอนหลับที่เพียงพอ เพราะเส้นใยประสาทในสมองจะเชื่อมประสานถึงกันช้าลงเนื่องมาจากความเหนื่อยล้า ดูเหมือนว่าถ้าอยากโฟกัสจนงานออกมาดี…เราต้องย้อนกลับไปสู่พื้นฐานของร่างกายมนุษย์นั่นคือการนอน เพราะการตื่นมา “หัวแล่น” ตีโจทย์แตก คิดอะไรก็ออก ครีเอทีวิตี้มาเต็ม ล้วนคือผลพลอยได้จากการนอนหลับที่มีคุณภาพ!

    Bill Gates / Jeff Bezos / Jack Ma / Warren Buffet / Richard Branson…คนเก่งหลายคนบนโลกใบนี้ล้วนเป็น “นักนอน” ตัวยง นอนเต็มอิ่มอย่างพอเพียงวันละ 6-8 ชม. ขอให้ความสำคัญที่ตัวเลข 6-8 ชั่วโมง/วัน ห้ามน้อยเกินกว่านี้ แม้บางคนอาจมองว่านอนน้อยลงกว่าเดิมแค่วันละ 1-2 ชั่วโมง ไม่น่าจะแตกต่างอะไรมาก แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น 

    อย่างแรก เรารู้สึกได้ชัดเจนเลยว่า นอนน้อยลงกว่าเดิม 1-2 ชั่วโมงมีผลต่อการดำเนินชีวิตวันนั้นของเรามากๆ เราจะเบลอๆ มึนๆ ไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมอยากทำอะไร นอกจากนี้ The Journal of Sleep Research วารสารชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์การนอน เผยผลสำรวจที่ทดลองในผู้ใหญ่กว่า 44,000 คน ระยะเวลากว่า 13 ปี พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมง/วัน มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าคนที่นอนวันละ 6-7 ชั่วโมง ถึง 65%!!

    วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า นอนไม่เพียงพอไม่ได้ส่งผลแค่ประสิทธิภาพการโฟกัสงาน…แต่ส่งผลถึง “ชีวิต” ของเราได้เลย

    2. ทำสมาธิ 

      ต่อเนื่องจากข้อเมื่อกี้ เมื่อนอนเต็มอิ่มแล้ว หลังตื่นนอนให้นั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที หายใจเข้าออกช้าๆ ไม่ฟุ้งซ่าน ฝึกจิตให้อยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” นี่เป็นวิธีที่ช่วยให้เราเข้าสู่สภาวะ “Flow State” จิตเราจะจดจ่อกับเรื่องตรงหน้าอย่างมีสมาธิเต็มที่ ที่สำคัญคือ สภาวะนี้จะ ‘อยู่ติดตัวเรา’ ไปอีกซักพัก จึงควรใช้เป็นโอกาสทองในการเลือกทำงานที่ “ใช้ความคิด” มากที่สุดภายใน 2-3 ชม.แรก สมองจะแจ่มใสทำงานเต็มที่ ความคิดสร้างสรรค์พรั่งพรู

      ผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมากมายถึงกับบอกว่า เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงใน Flow State นี้ เค้าทำงานได้ดีเทียบเท่ากับทั้งวันที่เหลือด้วยซ้ำ! กลับมาที่ทัศนคติการนั่งสมาธิซึ่งหลายคนมองข้ามคิดว่าเอาเวลาไปนอนจริงๆจังๆ ไปเลยดีกว่า ให้เปรียบเทียบว่า…เราเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายร่างกาย การนั่งสมาธิก็เหมือน “ออกกำลังกายสมอง” และจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวสั่งการร่างกายอีกทีหนึ่งนั่นเอง นักคิด-นักประวัติศาสตร์ระดับโลกอย่างคุณ Yuval Noah Harari บอกว่า เขาจะเขียนหนังสือแห่งยุคอย่าง Sapiens ทั้ง 3 เล่ม(ตอนนี้แปลไปแล้วมากกว่า 50 ภาษาทั่วโลก) ไม่ได้เลย หากปราศจากการ “นั่งสมาธิ” 

      เขาทำทุกวันๆ ละ 2 ชั่วโมงอย่างต่ำ (เช้า 1 ชม. เย็น 1 ชม.) ซึ่งเขาฝึกฝนมาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว นอกจากนี้ ทุกปีเขาจะปลีกวิเวกไปฝึกสมาธิในพื้นที่ห่างไกลเป็นเวลา 2 เดือนเต็ม เขาได้เดินทางสำรวจลึกเข้าไปในใจตัวเอง ขบคิด ตกผลึก กลั่นกรองออกมาเป็นผลงานอันเลอค่าผ่านตัวอักษรบนกระดาษ เขาถึงกับอุทิศบทนึงเต็มๆ ในหนังสือ อธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวการทำสมาธิของเขา 

      ทั้งนี้ทั้งนั้น การทำสมาธิไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิเท่านั้น แต่สอดแทรกไปอยู่ใน “วิถีชีวิต” ของเราได้หลายเรื่อง อ่านหนังสือก็ฝึกสมาธิได้ / ทานข้าวก็ฝึกสมาธิได้ / เล่นโยคะก็ฝึกสมาธิได้ / เดินสวนสาธารณะก็เป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่งได้เช่นกัน (ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ) ประเด็นขอแค่จิตเราต้องอยู่กับ “ปัจจุบันขณะ”

      3. To-Do List 

        ข้อดีของ To-Do List คือเรา “ไม่ต้องเสียเวลาคิด” เพราะคิดมาล่วงหน้าแล้ว เน้นเนื้อๆ มาถึงโฟกัสเข้าประเด็นลุยงานที่สำคัญได้เลย เป็นเหมือนเครื่องช่วยเตือนสติเราว่า ไม่ว่าวันนั้นจะมีเรื่องวุ่นวายอะไร คุณจะไม่ถูกดึงความสนใจจนตกขบวน นอกจากนี้ To-Do List เป็นตัว “ช่วยจำ” ชั้นดี บ่อยครั้งความทรงจำของมนุษย์เราไม่แน่นอน เรารู้ลึกๆ ในใจว่าจะต้องทำอะไรซักอย่างแน่ๆ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่พอมองลิสท์รายการ 1-2-3-4 ที่ต้องทำแล้วก็ร้องอ่อเลย

        To-Do List จะยิ่งมีประสิทธิภาพเข้าไปอีกเมื่อเรา “เรียงลำดับความสำคัญ” ของเรื่องที่ต้องทำ และขอให้เจาะลึกรายละเอียดอีกหน่อย บางงานสำคัญจริงแต่ไม่รีบด่วน ขณะที่บางงานสำคัญน้อยกว่าแต่เร่งด่วนกว่า และรู้สึกเหมือนกันไหม? เมื่อเราทำได้ครบตาม To-Do List ทุกข้อ จะรู้สึกภารกิจสำเร็จลุล่วง มีความสุข นี่คือมนตร์เสน่ห์อย่างหนึ่งของ To-Do List 

        แถมเริ่มได้ง่ายมาก ยุคนี้มีแอปที่ช่วยเราทำ To-Do List เพียบจนนับไม่หมด เช่น Todoist แอปที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์การทำงานในชีวิตประจำวันครบ และเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้ราบรื่น (ผู้ใช้งานมากกว่า 10 ล้านคนแล้ว) หรือเราจะใช้ควบคู่ร่วมกับแอปบริหารจัดการงานก็ได้เหมือนกัน เช่น Trello

        4.ตัดสิ่งรบกวน 

          เราอยู่ในโลกที่ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง มีเรื่องเย้ายวนใจ-หลอกล่อใจเราอยู่ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ถ้าเราปล่อยใจไปกับมันทุกเรื่อง บอกเลยว่าวันนั้นของคุณไม่เป็นการเป็นงานแน่ เพราะไม่ใช่เรื่องทุกเรื่องที่จะเป็นเรื่องสำคัญ

          ผลวิจัยมากมายระบุว่า การที่เราโฟกัสเรื่องใดอยู่ และมีสิ่งรบกวนมาแทรกคั่นกลาง จนทำให้เราหลุดโฟกัส…การจะกลับมา “โฟกัสใหม่” ใช้เวลาและพลังงานสูงมาก สิ่งรบกวนเหล่านี้คือผู้ร้ายตัวดีที่ขัดขวางผลงานของเรานั่นเอง

          เราห้ามโลกภายนอกไม่ได้ แต่เราห้ามตัวเองได้ วิธีแรกที่ช่วยได้มากคือต้อง “กำหนด” ให้ได้ก่อนว่าอะไรคือสิ่งรบกวน?

          • ไถฟีด FB เพื่อติดตามแบรนด์คู่แข่ง…อาจไม่ใช่สิ่งรบกวน
          • ไถฟีด FB เพื่อวิเคราะห์โฆษณา…อาจไม่ใช่สิ่งรบกวน
          • แต่ไถฟีด FB เพื่อดูของกินไปเรื่อยเปื่อย…อาจเป็นสิ่งรบกวน

          เมื่อกำหนดได้แล้ว จึงค่อย “ตัด” สิ่งรบกวนเหล่านี้ออกไปให้เหลือน้อยที่สุด และเอาเวลาไปโฟกัสกับเรื่องสำคัญ ข้อสำคัญ คือ อย่าหาข้ออ้างให้ตัวเอง ต้องตั้งเป้าเลยว่าจะเข้า social media ไหน เพื่อทำอะไร เมื่อทำสิ่งนั้นเสร็จแล้ว ก็ต้องออกจาก social media ทันที

          ตัวอย่างใกล้ตัวคือการใช้ “แอป” ผลสำรวจพบว่า เฉลี่ยแล้วคนเราใช้แอปมากถึง 9 แอป/วัน (ใช่ FB เป็นหนึ่งในนั้น) แต่เรารู้ดีว่า เราไม่จำเป็นต้องมีทุกแอป…มีแค่บางแอปเท่านั้นที่สำคัญจริงๆ กับเรา จุดนี้เราสามารถ “ใช้แอปเพื่อมาลดการใช้แอป” ได้เหมือนกัน

          อย่างเช่น แอป Offtime จะบันทึกการใช้แอปทุกอย่างบนมือถือคุณ แสดงผลได้หลายรูปแบบและเข้าใจง่ายมาก แอปพวกนี้ทำให้เรา “เห็นภาพ” แปลงออกมาเป็นตัวเลขชัดๆ จนคุณอาจตกใจว่า…นี่เราใช้แอปนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?!! เมื่อรู้ตัวเลขชัดเจนก็นำไปสู่การเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ได้

          5. ฝึกสรุป+เขียนมันออกมา 

            รู้หรือไม่? การเขียนเป็นการทำสมาธิอย่างหนึ่ง จิตเราจะปิดกั้นสิ่งรอบข้างและโฟกัสไปที่ตัวอักษร (ไม่ว่าจะพิมพ์หรือเขียน) คนที่เขียนบ่อยๆ จะรู้ดีว่าบางครั้งเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เพราะสมองโฟกัสไปที่การขบคิดและการเขียน (อยู่ใน Flow State)

            นอกจากนี้ ระหว่างสิ่งที่จำอยู่ในสมอง VS. สิ่งที่เห็นตรงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างหลังจะมีแรงจูงใจ “กระตุ้น” ให้คนเราเกิดการกระทำมากกว่า ในแง่จิตวิทยา มันเหมือนเราได้ยอมรับไปแล้วว่าเราต้องทำ หลักฐานอยู่ตรงหน้ากับตา (เรื่องนี้ยังใช้ได้กับการ “เซ็น” เอกสารต่างๆ เช่นกัน)

            การฝึกเขียนไม่เพียงช่วยฝึกสมาธิ แต่ยังฝึกตรรกะการใช้เหตุผล การเล่าเรื่อง การอธิบายให้ถูกจริตกลุ่มเป้าหมาย…ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นของยุคนี้ทั้งสิ้น

            .

            .

            ทำ “แบบประเมินอาชีพ” จาก CareerVisa ได้เพื่อค้นหาอาชีพที่ใช่ งานที่ชอบ และหลงรักกับการทำงานในทุกๆ วัน! >>> https://www.careervisaassessment.com/five-shades-assessment-th/

            ยังไม่รู้จะหางานอะไรดี? รีบเข้าไปที่ >>> www.careervisaassessment.com

            ทำ Resume แบบมืออาชีพได้ง่ายๆ ที่ >>> https://myrightcareer.net/


            อ้างอิง

            Author

            • รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

            Related   Articles

            สื่อสารในงาน HR

            4 เทคนิคแค่ปรับวิธีการ “สื่อสารในงาน HR” ก็สำเร็จได้มากกว่าเดิม

            ในหลาย ๆ ตอนที่ผ่านมา จากการที่ได้ศึกษาเรื่องกลยุทธ์ ระบบ โครงสร้าง หรือเทคโนโลยีในงานบุคคลอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้จะขอพูดถึงจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญไม่แพ้กัน คือ “การสื่อสาร” ในงานบุคคล ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้งานประสบความสำเร็จบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หากมีของดีแต่ไม่สื่อสาร หรือสื่อสารแล้วทำให้ความหมายเปลี่ยนไป ก็สามารถทำให้เรื่องราวเปลี่ยนไปได้มาก หรือหากมีระบบหรือนโยบายที่ดีมาก ๆ แล้วสามารถใช้การสื่อสารสร้างแรงกระเพื่อม (amplify) ให้กว้างและมี impact มากขึ้นได้ก็จะทำให้งานมีคุณค่าเพิ่มมากกว่าเดิมที่จะช่วยพัฒนาชีวิตของพนักงานในองค์กรให้ดีขึ้นอย่างที่ HR Professionals ทุกท่านตั้งใจไว้ โดยเรารวบรวมมาให้ด้วยกันทั้งหมด 4 เทคนิคได้แก่ . 1. Communication Needs ต้องมาก่อน เรื่องโครงสร้างหน้าที่ใครไว้ทีหลัง คำแนะนำนี้เป็นจริงอย่างยิ่งในองค์กรที่ทั้ง “มี” และ “ไม่มี” หน่วยงานที่ดูแลการสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication) ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ ในองค์กรที่ไม่มีหน่วยงานชัดเจน ก็ให้เป็นที่รู้กันว่า เป็นหน้าที่ของเจ้าของงานที่จะต้องโปรโมทสื่อสารผลงานชิ้นสำคัญของตนเองออกไปให้กับผู้ใช้งานหรือพนักงานกลุ่มเป้าหมาย แต่สำหรับในองค์กรที่มีหน่วยงานที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการแล้วนั้น ข้อดีคือคุณจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสาร มีเครื่องมือ ช่องางที่ได้รับการดูแลอย่างดี แต่กับดักชิ้นสำคัญที่ HR มักจะประสบก็คือการรอให้อีกฝ่ายดำเนินการ หรือกลัวจะไปทับเส้นกันจึงไม่แตะเรื่องการสื่อสารเลย ในฐานะที่เป็น expert หรือเป็น task owner ที่รู้ดีที่สุดในงานโครงการหรือโปรแกรมที่ลงแรงลงเวลาออกแบบมาหลายเดือนนั้น จะดีกว่ามากหากคุณสามารถมีส่วนร่วมหรือแม้กระทั่ง take lead ในการสื่อสารงานชิ้นสำคัญของคุณ โดยขอการสนับสนุนในเชิงเครื่องมือ ช่องทาง หรือคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการวางแผนและดำเนินการสื่อสาร ควรดูตาม “ความจำเป็นในการสื่อสาร (Communication Needs)” ซึ่งหมายถึงวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร เป้าหมาย และวิธีการที่ดีที่สุดมากกว่าโครงสร้างหรือระบบขององค์กร เพราะสุดท้ายทั้งสองอย่างก็มีเป้าหมายเดียวกัน คือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้องค์กรบรรลุเป้าหมายไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด . 2. Storytelling ที่ดีต้องมี insight มาจากพนักงานคนฟัง งานบุคคลในยุคปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาด้วยเจตนาที่ดีที่จะทำให้ชีวิตของพนักงานในเส้นางการทำงานเติบโตก้าวหน้า และในขณะเดียวกันบริษัทก็เติบโต ในเมื่อมีแต่เรื่องดี ๆ เป็นส่วนใหญ่ การวางเรื่องและเนื้อหาที่ดีในงาน HR ซึ่งมักจะต้องทำเรื่องยาก ๆ ให้เป็นเรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายพนักงาน เงินเดือน โปรแกรมการพัฒนาความรู้ การประเมินผลงาน การเติบโตก้าวหน้า ฯลฯ ต้องถูกถ่ายทอดด้วยเนื้อหา วิธีการ และการเล่าเรื่องที่โดนใจผู้รับสาร ส่งพลังบวก น่าติดตาม และทำให้พนักงานอยากมีส่วนร่วมในการพัฒนาชีวิตการทำงานของตนเองไปพร้อม ๆ กับองค์กร หากเปรียบเทียบงานของ HR เป็น ‘ข่าวเศรษฐกิจ’ ชิ้นหนึ่ง ผู้รับสารก็เหมือนผู้ชมทางบ้านที่สามารถเลือก ดู ฟัง หรือ อ่านจากสำนักข่าว ช่อง หรือนักข่าวที่ตนเองชื่นชอบ ถูกจริตในการรับสาร หรือเข้าใจง่าย เมื่อผู้ฟังซึ่งเป็นพนักงานในหลากหลายระดับที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกันเกิดความเข้าใจและเปิดใจในการรับสาร โอกาสที่โครงการของ HR จะประสบความสำเร็จก็ย่อมมากตามไปด้วย ดังนั้นก่อนจะสื่อสาร ควรจะหาโอกาสในการ “ฟัง” เรื่องราวต่าง ๆ จากพนักงานและนำมาเสริมใส่ลงในเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องให้โดนใจมากขึ้น และที่สำคัญต้องไม่ทำให้เกิด Winner และ Loser ในองค์กร โดยเฉพาะเวลาสื่อสาร Hero Stories หรือเรื่องราวดี ๆ จากตัวแทนพนักงาน . 3. เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Online Ecosystem ในชีวิตพนักงาน ในยุคที่ Social Media มีบทบาทกับชีวิตพนักงานมาก โดยพบว่า 98% ของพนักงานมีการใช้โซเชียลมีเดียส่วนตัวอย่างน้อยหนึ่งแพลตฟอร์ม และ 50% มีโพสต์ข้อความเกี่ยวกับงานและบริษัท และใช้เวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในการเข้าถึงข้อมูลของบริษัทผ่านโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต นี่จึงเป็นโอกาสและโจทย์ใหม่สำหรับ HR ในการสื่อสารและเข้าถึงพนักงานมากขึ้น และเข้าปะปนเป็นส่วนหนึ่งของข่าวสารในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมในการใช้สื่อใน online ecosystem ให้ได้ เหมือนกับโฆษณาที่ผ่านตาอยู่เสมอในทุกที่ทุกเวลาในเรื่องและปริมาณที่เหมาะสมกับความสนใจของพนักงาน . 4. ใช้การสื่อสารเป็นตัวช่วยให้พนักงานมีส่วนร่วม ปรับรูปแบบการสื่อสารเป็นสองทางให้มากขึ้น อาจเป็นการกด Like, Share, Comment ง่าย ๆ กลับมาทางอีเมล หรือร่วมทำ survey เป็น open idea-sharing session เพื่อให้เกิดกิจกรรม นวัตกรรม หรือแนวคิดใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ที่เห็นได้ชัดอย่างเช่น กิจกรรม CSR หรือ กิจกรรมเพิ่ม Engagemnet ของพนักงาน ที่ปกติจะเป็นกิจกรรมที่ HR คิดและประกาศรับสมัครคนเข้าร่วมกิจกรรม แต่หากลองกลับกัน เป็นกิจกรรมให้พนักงานเสนอชื่อโครงการอาสาสมัครหรือกิจกรรมที่อยากหาเพื่อนไปทำร่วมกันมากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่านไลน์กลุ่มก็สามารถทำได้ ก็จะทำให้ได้โครงการตอบโจทย์โดนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่คนมีความสนใจที่หลากหลายที่อาจไม่สามารถหากิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกคนแบบ one size fits all ได้ วิธีการนี้สามารถขยายผลไปสู่การเรียนรู้และพัฒนา การนำเสนอคอร์สออนไลน์ต่าง ๆ ที่พนักงานอาจมีแหล่งความรู้ใหม่ ๆ หรือทักษะแห่งอนาคตที่น่าสนใจมากขึ้นกว่าการกำหนดมาโดยผู้บริหารหรือ HR Professionals เท่านั้น วิธีการนี้ยังช่วยสอดแทรกค่านิยมองค์กรและวัฒนธรรมที่อยากให้พนักงานเห็นได้อีกด้วย . ทำไม HR จึงควรปรับวิธีการสื่อสาร? ปรับแล้วได้อะไร? หลายครั้ง HR Professionals ที่ทำงานหนัก อาจเกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าและฉุกคิดว่า การสื่อสารคือเรื่องที่ต้องช่วยกันทั้งสองฝ่าย และมักมีมุมคิดที่อยากให้ผู้อื่นปรับตัวเข้าหาเรา ความคิดที่ว่า “ถ้าพนักงานอยากก้าวหน้าก็ต้องหาทางอ่านหนังสือยาก ๆ ให้ได้เอง” หรือ “ถ้าอยากจะเบิกสวัสดิการ ก็ต้องมีความพยายามเข้าไปในระบบที่ซับซ้อนให้ได้” สองประโยคนี้ถ้าอ่านดี ๆ จะพบว่า ไม่ได้เกิดประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ดังนั้นเป็นหน้าที่ของ HR มืออาชีพที่จะต้องสื่อสารให้สำเร็จเป็นส่วนหนึ่งของงานที่เราไม่อาจเลือกผู้รับสารได้ แต่ผู้รับสารคือกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากให้เขาเปลี่ยนทัศนคติ เปลี่ยนพฤติกรรม ได้ใช้ระบบต่าง ๆ ที่จัดเตรียมไว้ให้ เกิดความก้าวหน้าในงาน หรือมีความรู้สึกผูกพันกับองค์กรนี้ ในปัจจุบัน (และอดีต) มีงานวิจัยและผล survey มากมายที่พูดถึงประโยชน์ของการสื่อสาร เรียกว่า การสื่อสารที่ดี จะไม่มีข้อเสียต่อตนเองและองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการ เชื่อว่าทุกองค์กรล้วนมีของดีและเจตนาที่ดีต่อพนักงานทุกคนในการเติบโตก้าวหน้าไปพร้อมกับองค์กร จึงอยากให้ในโค้งสุดท้ายของปีนี้และช่วงที่กำลังวางแผนงานในปีหน้านั้น ลองหันมาเพิ่มโฟกัสเรื่องการสื่อสารงาน HR ให้มากขึ้น เพื่อให้งานที่ดีอยู่แล้วสำเร็จได้มากกว่าเดิม Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 187

            5 ขั้นตอนสร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่ต้องการของคนเก่ง: คู่มือสู่การเป็นนายจ้างในฝัน

            การสร้างแบรนด์ “นายจ้าง” เชิงกลยุทธ์จะช่วยให้องค์กรเห็นภาพ ‘คนที่ใช่’ ที่องค์กรอยากให้มาร่วมงานด้วย เข้าใจการใช้ชีวิต แรงจูงใจ และเป้าหมายทางอาชีพของคนกลุ่มนั้นมากเพียงพอจนสามารถเขียน Job Description ที่ตรงประเด็น เจาะจง และอ่านแล้วรู้ทันทีว่า ใครเหมาะจะทำงานนี้ ซึ่งหากทำได้ดีจะช่วยทำให้กระบวนการสรรหาและคัดเลือกใช้เวลาน้อยลง เพราะแบรนด์จะคัดกรองคนที่ไม่ใช่ออกไปเอง ทำให้ Recruiter มีเวลาที่จะไปใช้ในการสัมภาษณ์คนที่มีโอกาสเข้าตาได้อย่างเจาะลึกและทำให้การพูดคุยมีความหมายมากขึ้น เพราะได้คุยกับคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน มีโอกาสมากในการร่วมงานกันในอนาคต พูดง่ายๆว่า มีเรื่องที่จะคุยกันได้อย่างรื่นไหล ซึ่งการจะสร้างแบรนด์นายจ้างให้ประสบความสำเร็จ มี 5 ขั้นตอนเบื้องต้น ดังนี้ 1.ตรวจสอบภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Check Your Brand Health) ก่อนเริ่มวางกลยุทธ์ ควรทำความเข้าใจว่าแบรนด์ขององค์กรมีจุดแข็งและจุดอ่อนอะไรบ้าง โดยเฉพาะในการสำรวจภาพลักษณ์จากกลุ่มคนเป้าหมายที่แท้จริง เช่น หากองค์กรต้องการรับสมัครคนในสายเทคโนโลยีเป็นจำนวนมาก ควรสอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มคนในสายนั้นโดยเฉพาะ การตรวจสอบนี้จะช่วยให้เราสามารถระบุจุดที่ต้องแก้ไขและจุดที่ควรพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างแม่นยำ 2. เตรียมบรีฟอย่างมืออาชีพ (Prepare a Good-Enough Brief) การเขียนบรีฟที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และเกณฑ์วัดความสำเร็จจะช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น หากต้องการจ้างเอเจนซี่หรือที่ปรึกษาภายนอก การมีบรีฟที่ระบุเป้าหมายชัดเจนแต่เปิดกว้างในวิธีการ จะช่วยให้งานมีความยืดหยุ่นและเพิ่มโอกาสในการรับไอเดียใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังควรกำหนดงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายของโครงการด้วย 3. กำหนดกลยุทธ์และสารสำคัญของแบรนด์ (Craft the Strategy) การสร้างกลยุทธ์ควรเริ่มจากการระบุ Key Message หรือสารสำคัญของแบรนด์นายจ้างที่โดดเด่น เพื่อให้แบรนด์มีจุดยืนที่ชัดเจน โดยควรเน้นไปที่คุณค่า วัฒนธรรม และประสบการณ์ที่องค์กรจะมอบให้กับพนักงาน ในขั้นตอนนี้เป็นการเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้พวกเขาเห็นภาพว่าการเข้ามาร่วมงานจะช่วยส่งเสริมเป้าหมายอาชีพและชีวิตของพวกเขาอย่างไร 4. วางแผนการสื่อสารเพื่อดึงดูดคนเก่ง (Design Your Talent Engagement Plan) เพื่อให้แผนการสื่อสารสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย องค์กรควรวางแผนการใช้สื่อสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างเหมาะสม เช่น การสร้างโฆษณา การใช้โซเชียลมีเดีย และสร้างเนื้อหาที่นำเสนอจุดเด่นของวัฒนธรรมองค์กรอย่างชัดเจน การสื่อสารควรเจาะจงไปที่ลักษณะเฉพาะของกลุ่มคนที่ใช่ (Candidate Persona) และควรให้ข้อมูลที่ครอบคลุมในแต่ละขั้นตอนของเส้นทางผู้สมัคร (Candidate Journey) ไม่ว่าจะเป็นการอธิบายตำแหน่งงานและการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กร 5. ลงมือทำและสร้างความสม่ำเสมอ (Execute & Be Consistent) ความสม่ำเสมอคือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์นายจ้าง ควรสื่อสารเนื้อหาอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การจัดอีเวนต์ การจัดงาน Job Fair หรือการสร้าง Career Landing Page ที่มีความน่าสนใจและใช้งานง่าย รวมถึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้สมัคร เช่น การทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว การออกแบบที่อ่านง่าย และการปรับให้รองรับการใช้งานผ่านมือถือได้ดี ตัวชี้วัดความสำเร็จของแบรนด์ “นายจ้าง” ตัวชี้วัดพื้นฐานของการสร้างแบรนด์นายจ้างที่ดีประกอบไปด้วย การสร้างแบรนด์นายจ้างที่ชัดเจนและสม่ำเสมอ ไม่เพียงแค่ช่วยในการสรรหาพนักงานเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและเพิ่มโอกาสให้องค์กรประสบความสำเร็จตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้ เพราะการมีคนที่เหมาะสมคือหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมายในอนาคต ขอบคุณข้อมูลจาก : Khon At Work Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 171

            HR Tech

            ข้อดีและข้อควรระวังของ HR Tech: เปลี่ยนงานทรัพยากรบุคคลสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

            การเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลในงานทรัพยากรบุคคล คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า งานทรัพยากรบุคคลกำลังจะกลายเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ (HR Tech) ไม่เพียงแต่ในแง่ของการใช้งานเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงในด้านต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Big Data เพื่อทำความเข้าใจพนักงาน เพิ่มทักษะดิจิทัลให้กับพนักงาน และพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ในขณะที่มุมของพนักงานจากผลสำรวจของ PwC เชื่อว่าการวิเคราะห์ข้อมูลจะมีบทบาทสำคัญต่อการเลือกเส้นทางการเติบโตก้าวหน้าของพนักงาน . สถานการณ์ปัจจุบันของ HR Technology ปัจจุบัน 80% ขององค์กรกำลังใช้ HR Technology อยู่อย่างน้อยหนึ่งอย่าง และ 60% ขององค์กรวางแผนเพิ่มการลงทุนใน HR Technology ในปี 2024 แล้ว HR Technology ส่งผลกระทบต่อพนักงานอย่างไรบ้าง และจะวัดความคุ้มค่าอย่างไร วันนี้เรามาดูแนวทางไปพร้อมกัน อย่างไรก็ดี หลายองค์กรยังคงมีความกังวลในเรื่องการใช้ HR Tech โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน การคำนวณความคุ้มค่าของ HR Tech นั้นสามารถทำได้โดยการวิเคราะห์ประโยชน์ที่ได้เปรียบเทียบกับต้นทุนที่ต้องใช้ในการลงทุนเทคโนโลยีทาง HR นั้น ๆ ดังนี้ 1. กำหนดวัตถุประสงค์ของการลงทุน HR Tech ให้ชัดเจน ก่อนที่จะคำนวณความคุ้มค่าของ HR Tech ควรกำหนดวัตถุประสงค์ในการลงทุนอย่างชัดเจน เช่น . 2. ประเมินผลประโยชน์ของ HR Tech หลังจากกำหนดวัตถุประสงค์แล้ว ต้องทำการวัดผลประโยชน์ที่ได้รับจาก HR Technology เพื่อใช้ในการคำนวณความคุ้มค่า ตัวอย่างของผลประโยชน์ที่สามารถวัดได้มีหลายประการ เช่น . 3. คำนวณต้นทุนของ HR Tech ต้นทุนในการลงทุน HR Technology เบื้องต้น ได้แก่ . 4. คำนวณ ROI (Return on Investment) ROI หรือ Return on Investment เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการวัดประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุน HR Technology โดยสามารถคำนวณได้ด้วยสูตรเบื้องต้น ดังนี้ ROI=(ผลประโยชน์ทั้งหมด−ต้นทุนทั้งหมดต้นทุนทั้งหมด)×100% อย่างไรก็ดี หลายองค์กรยังคงมีความกังวลในด้านการใช้ HR Technology อาทิ โดยรวมแล้ว HR Technology มีข้อดีต่อพนักงาน ทำให้ทุกฝ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีส่วนร่วมมากขึ้น และเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงความเสี่ยงและความกังวลที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง และดำเนินการเพื่อลดผลกระทบเหล่านี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับทุกฝ่ายเพื่อมุ่งสู่โลกการทำงานแห่งอนาคตไปพร้อมกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : Khon At Work Author CareerVisa Team รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน Post Views: 145