คำถามที่ดี ชวนฉุกคิด ได้รื้อฟื้นทบทวนตัวเอง และเผยมุมมองใหม่ๆ ที่มองข้ามมาตลอด ทำให้เราเป็นหัวหน้าที่ดีขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อโดยแทบไม่มีต้นทุนเลยนะ! ลองมาดูกันๆ
หัวเราะครั้งสุดท้ายที่ออฟฟิศเมื่อไร?
หัวหน้าที่ลูกน้องรักต้องมีความเป็นคนน่าคบหา การมีมนุษยสัมพันธ์พื้นฐานที่ดีกับเพื่อนร่วมเป็นสิ่งจำเป็น! ไม่ต้องถึงกับสนิทสนมรู้เรื่องส่วนตัวทุกเรื่องก็ได้ แต่ควรมีบทสนทนาชิลๆ โจ๊กขำๆ แซวเล่นๆ อยู่เป็นประจำ นอกจากจะถูกจริตวัฒนธรรมคนไทยแล้ว ยังเพิ่มบรรยากาศการทำงานทีาผ่อนคลายขึ้น
หัวหน้าลองหาเวลาทำกิจกรรมด้วยกันที่นอกเหนือจากงาน เช่น กินมื้อเที่ยงด้วยกัน ออกไปดื่มหลังเลิกงาน นัดตีแบด ชวนไปคาราโอเกะ
อย่าลืมว่า เวลาในออฟฟิศกินเวลาชีวิตคนเราไปอย่างน้อย 1/3 ในทุกๆ วัน คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้หัวเราะผ่อนคลายบ้างเล็กน้อยในทุกวัน นอกจากความสัมพันธ์แล้ว ยังดีต่อสุขภาพ ดีต่อผิวพรรณกล้ามเนื้อใบหน้า สารเคมีในร่างกายที่ไหลเวียนจากการหัวเราะด้วยนะ
ลูกน้องคุณ สู้กลับครั้งสุดท้ายเมื่อไร?
เป็นคำถามที่เช็คว่าตัวเองเป็นหัวหน้าขี้วีนหรือบ้าอำนาจจนลูกน้องไม่มีใครกล้ามาขอความช่วยเหลือหรือไม่? ถ้าใช่ ก็ต้องรีบเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะระยะยาวไม่มีอะไรดีแน่นอน
เทคนิคกระตุ้นการถกเถียงคือ คุณอาจใช้วิธี Devil’s advocate แต่งตั้งให้สมาชิกทีมเก่งๆ คนนึงมาคอยโต้แย้งคุณโดยเฉพาะ! หาหลักฐานมาแย้งให้ได้ ปัดตกไอเดียพร้อมเสนอวิธีอื่นที่ดีกว่า คอยท้าทายมุมมองใหม่ๆ ที่หัวหน้ามองข้ามมาตลอด
อะไรคือคีย์เวิร์ดแค่ 3 คำ ที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ?
เป็นเหมือนการทบทวนตัวตนของคุณเอง เพราะนี่คือคาแรคเตอร์ที่ชัดที่สุด เหมือนเป็น DNA ในตัวคุณ ฝเลยนะ เช่น
1. Fair – ตัวคุณรักความยุติธรรม ไม่ชอบเอาเปรียบใครและไม่ชอบถูกใครเอาเปรียบ ปฏิบัติกับลูกน้องอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม ตอนรับพนักงานใหม่เข้ามาก็จะไม่กดเงินเดือน ถ้ามีโอทีก็ต้องจ่าย
2. Work smart – เพราะคุณเป็นคนไม่อึด ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ไหว จึงต้องคอยหาวิธีทำงานที่ทุ่นแรงแต่ยังได้ผลลัพธ์เท่าเดิมอยู่เสมอ ซึ่งนำไปสู่ความครีเอทีฟใหม่ๆ ได้เช่นกัน และ
3. Learning – คุณรักการเรียนรู้อยู่ตลอด มีทัศนคติว่ายิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ ไม่มีอีโก้ในการถามเรื่องที่ไม่รู้ พร้อมทำตัวเป็นนักเรียนยกมือถามอาจารย์เพื่อหาคำตอบของปัญหา
แน่นอนว่าทุกคนมักให้คำตอบคีย์เวิร์ดในแง่บวกอยู่แล้ว คำถามนี้จึงเหมือนเป็นการพยายามรักษาจุดยืนอุดมการณ์ในตัวคุณเองไปในตัว!
ลูกน้องคนนี้มีข้อดีอะไรบ้าง?
คำถามเบสิคที่หัวหน้าอาจมองข้ามไปแล้ว อันดับแรก มันส่งเสริม positive thinking ให้เราค้นหาข้อดีและศักยภาพซ่อนเร้นของลูกทีมรอบตัว
และเพราะคนเรามีข้อดี-ข้อด้อย แต่ไม่ควรจมปลักกับข้อด้อย เพราะยังไงข้อด้อยก็เป็นข้อด้อยอยู่วันยังค่ำ มันไม่ใช่สิ่งที่ถนัดและอาจไม่ชอบ ต่อให้พัฒนาตัวเองขีดสุดจนกลบข้อด้อยไปได้บ้างแล้ว
ก็แต่ยากมากๆ ที่คนทั่วไปจะเปลี่ยนมันมาเป็นข้อดี ดังนั้น หัวหน้าควรโฟกัสที่ข้อดีของลูกน้องมากกว่าและหาทาง leverage ทำให้มันดีแบบทวีคูณขึ้นไปอีก
เช่น ลูกน้องคนนึงเป็น Content Creator ที่มีสกิลการเขียนอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่ายและสนุกมากๆ หัวหน้าควรจะดึงจุดแข็งตรงนี้ โดยเชิญชวนให้มาร่วมสร้าง template มาตรฐานกลางเวลาพรีเซนต์งานลูกค้าว่าควรใช้ Data visualization แบบไหนให้เข้าใจง่าย
ถ้าต้องเขียนเล่าประวัติของตัวเองขณะทำงานในบริษัทนี้ (แบบซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา) จะเขียนว่าอะไร?
เป็นคำถามที่ชวนมองไปที่ปลายทาง ณ วันที่ลาออก แล้วมองย้อนกลับมาทบทวนตัวเองขณะดำรงตำแหน่งหัวหน้า
ลึกๆ แล้วคงไม่มีหัวหน้าคนไหนอยากเขียนว่า ตัวเองแค่นั่งหัวโต๊ะไปวันๆ รู้สึกดีที่มีอำนาจในการสั่งการและไล่ใครออก หรือหาเรื่องด่าลูกน้องเด็กจบใหม่ด้วยความสะใจ ทุกคนก็คงอยากเห็นตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างการเติบโตให้บริษัท เป็นที่เคารพรักของลูกน้อง
เพราะคำถามนี้ กระตุ้นให้หัวหน้าพยายามเป็น “หัวหน้าในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด” อยู่เสมอ คอยทบทวนตัวเอง หมั่นเทคแคร์ลูกน้อง คิดหากลยุทธ์ปั้นทีมใหม่ๆ สุดท้ายจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่านั่นเอง
เห็นไหม? แค่คำถาม 5 ข้อนี้…ถ้าให้เวลาขบคิดและตอบแบบซีเรียส ก็ช่วยให้เราเข้าใจตัวเองและลูกทีมมากขึ้นแบบรอบด้านแล้ว พร้อมมากขึ้นสู่การเป็นหัวหน้าในเวอร์ชั่นที่ดีกว่าเดิมและน้องๆ ลูกทีมให้ความเคารพนับถือ!
อ้างอิง
- https://www.businessinsider.com/nick-mehta-one-question-all-managers-should-ask-themselves-2019-5
- https://www.forbes.com/sites/theyec/2021/07/26/are-you-being-the-best-leader-you-can-be-10-questions-to-ask-yourself/?sh=4154a65163ce
- https://medium.com/@TobiasCharles/7-questions-the-best-leaders-ask-themselves-everyday-8bd7ab19b992