Search
Search

อยากเก่งขึ้นต้องรู้จัก Law of Attraction 5 ข้อ

เชื่อไหมว่า การคิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งทุกวัน เชื่อมั่นในสิ่งนั้นมากๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้มันเกิดขึ้นกับชีวิตเราจริงๆ หากคิดว่าเราจะประสบความสำเร็จแน่ๆ เชื่อมั่นว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ดังใจคิด เพราะชีวิตที่อยากมีเริ่มที่เชื่อว่าทำได้ “เราสร้างชีวิตที่อยากมีได้ เพียงเชื่อมั่นอย่างสุดใจว่า เราทำได้จริงๆ” แต่หากคิดว่า เราคงไม่คู่ควรกับสิ่งดีๆ ไม่มีความสามารถพอที่จะมีชีวิตแบบที่ฝัน โอกาสนั้นก็จะยิ่งลดน้อยถอยลง

Law of Attraction คืออะไร?

การคิดอะไรก็ได้อย่างนั้นแบบที่กล่าวไปด้านบน อธิบายได้ด้วยกฎของธรรมชาติ ที่มีชื่อว่า The law of attraction หรือกฎที่เชื่อว่า พลังงาน ความคิด ความเชื่อ ความตั้งใจ ที่อยู่ในตัวเราเป็นเหมือนแม่เหล็กที่จะดึงดูดสิ่งที่เราต้องการให้เข้ามาหาเราได้ หากเราคิดในแง่บวก ก็จะดึงดูดสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ การงาน การเงิน หรือความสัมพันธ์ แต่ในทางกลับกันหากเรามีความคิดในแง่ลบ ก็มีโอกาสที่จะดึงดูดเรื่องราวด้านลบเข้ามาหาตัวเอง

แน่นอนว่า เราเอามันมาปรับใช้ในการพัฒนาตัวเอง ให้ก้าวไปเป็นคนที่อยากเป็น ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้ เพียงเริ่มจาก “ปรับความคิด ความเชื่อของตัวเอง” เมื่อเราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตที่อยากมีได้ เชื่อว่าเราจะสามารถประสบความสำเร็จ เชื่อว่าเราคู่ควรกับสิ่งดีๆ พลังงานแบบนี้จะสั่งสมในตัวเรา จนสามารถดึงดูดสิ่งที่เราอยากได้ให้เกิดขึ้นจริง เพราะ เมื่อเราเชื่อ เราจะกล้าเสี่ยง จะตามหาโอกาส ความเป็นไปได้ในการทำสิ่งนั้น แต่ในทางกลับกันหากเราไม่เชื่อ คิดว่าเราคงทำไม่ได้ หรือคิดว่าเราไม่คู่ควร เราจะไม่กล้าเสี่ยง เต็มไปด้วยความกลัว กลัวทำไม่ได้ กลัวทำแล้วเสียเวลาเปล่า และปล่อยให้โอกาสต่างๆ หลุดมือไป

Law of Attraction ทำงานยังไง?

  1. เริ่มจากเราต้องโฟกัสสิ่งที่ต้องการเข้าไว้-คิดถึงชีวิตที่อยากมี เป้าหมายที่อยากไปให้ถึงไว้ โฟกัสและให้ความสำคัญกับมันมากๆ
  2. ยิ่งเห็นภาพชัดก็ยิ่งส่งผลต่อการกระทำได้มาก -วาดภาพเป้าหมายที่อยากไปให้ถึงให้ชัดเจนในใจ นักกีฬาหลายๆ คนก็ใช้วิธีการจินตนาการภาพวันที่เขาได้แชมป์ เพื่อให้มันมีอิทธิพล เป็นเหมือนแรงบันดาลใจในการฝึกซ้อมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย
  3. สิ่งที่เราโฟกัส และวาดฝันไว้ ก่อเกิดเป็นพลังงานด้านบวก -หากเรารู้สึกดี มีความคิดในแง่บวก คลื่นสมองก็จะดึงดูดแต่สิ่งดีๆ เข้ามาหาเรา เช่นเดียวกัน เมื่อเราเชื่อว่าเราทำได้ มีภาพเป้าหมายที่ชัดเจนเราก็จะดึงดูดเป้าหมายให้ขยับมาใกล้เรามากขึ้น 4.ยอมรับความรู้สึกหรือความคิดด้านลบ -การยอมรับ ไม่ฝืนกับความคิดด้านลบที่เกิดขึ้น และค่อยๆ จัดการกับมันเป็นการลบความกังวล ความสงสัย และทำให้เรามุ่งไปสู่เป้าหมายได้ง่ายขึ้น
  4. เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง -เชื่อมั่นในสัญชาตญาณและอารมณ์ของตัวเอง ปล่อยให้มันพาเราไปในเส้นทางที่ใช่สำหรับตัวเราเอง
  5. ขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา -สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีแง่มุมที่ดีเสมอ หมั่นรู้สึกขอบคุณสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น การรู้สึกดีกับตัวเองเช่นนี้จะยิ่งดึงดูดสิ่งดีๆ ให้เข้ามาหา และทิศทางชีวิตจากที่ดำดิ่งจะเปลี่ยนทิศ มุ่งไปสู่หนทางที่ดีขึ้นได้

เราจะขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่อยากได้ได้ยังไงบ้าง?

แค่ความคิดด้านบวกอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ การทำกฎแรงดึงดูดนี้ยังอาศัยการกระทำบางอย่างเพื่อให้เราได้เข้าใกล้สิ่งที่อยากเป็นมากขึ้น และนี่คือวิธีการที่เราเอามาฝากกัน

  • การจดบันทึก: การเขียนสิ่งอยู่ในหัว ความคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นออกมาจะช่วยให้เราได้เห็นรูปแบบความคิดของตัวเอง และจัดการกับความคิดด้านที่เป็นลบได้ง่ายขึ้น
  • ทำ Mood board ภาพชีวิตในฝัน: เอาภาพฝันที่อยู่ในหัวมาทำให้เห็นภาพชัดเจนและจับต้องได้มากขึ้น ด้วยการทำ Mood Board มันจะช่วยให้เรามองเห็นเป้าหมาย มีกำลังใจในการใช้ชีวิต พาตัวเองไปให้ถึงจุดที่หวังได้
  • เรียนรู้ที่จะยอมรับ: แทนที่จะโฟกัสกับความผิดพลาดใดๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ลองเรียนรู้ที่จะยอมรับมันแบบที่มันเป็น เพื่อจะไม่ต้องจมปักกับความคาดหวังที่อยากให้มันเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่อื่นทั้งๆ ที่มันอาจจะเปลี่ยนไม่ได้แล้ว
  • เปลี่ยนวิธีการ Self-talk ให้เป็นด้านบวก: ถ้าเราเป็นคนที่ชอบโทษตัวเอง มองว่าตัวเองไม่เก่งพอ ไม่ดีพอ ลองให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่า ในแต่ละวันจะหาช่วงเวลามาพูดคุยกับตัวเองในด้านบวก ชมตัวเองบ้าง พูดถึงสิ่งที่ดีที่เราได้ทำหรือขอบคุณเรื่องดีๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา การทำแบบนี้บ่อยๆ ซ้ำๆ มันจะช่วยให้เรา รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นได้

แม้นี่จะไม่ใช่หนทางสู่การเปลี่ยนแปลงตัวเองที่จะเห็นผลได้รวดเร็ว แต่มันจะช่วยปลูกฝังนิสัยในการมองโลกในแง่บวกและจะช่วยให้เรามีแรงกระตุ้นในการทำงานต่อไป และค่อยๆ ออกก้าวเดินทางขยับเข้าสู่เป้าหมายได้ : )

อ้างอิง:

Author

  • CareerVisa Team

    รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

ทำงานเยอะ ไม่อยากเสียสมดุลชีวิต มาลองทำตามวิธีเหล่านี้

เชื่อว่าหลายคนต้องประสบพบเจอปัญหา “ทำงานหนักจนไม่มีเวลาชีวิต” บางคนไม่ได้ทำงานแค่ 5 วัน แต่ยังต้องเอางานที่ทำไม่เสร็จมาทำเสาร์อาทิตย์อีก แล้วสุดท้ายวันหยุดของเราอยู่ไหนกัน?

5 รูปแบบพนักงาน ที่มักจะโดนเพื่อนร่วมงานเกลียด

เคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเราถึงไม่มีเพื่อนในที่ทำงาน หรือคนรอบตัวแสดงความรู้สึกไม่ค่อยอยากทำงานกับเราสักเท่าไร
มาลองเช็กว่ากำลังเป็นแบบนี้กันอยู่หรือเปล่า

จัดการปัญหา แก้ไขทุกวิกฤติด้วย Fink’s Crisis Management Model

ชีวิตการทำงานของทุกคนคงไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ยิ่งต้องทำงานร่วมกับหลายฝ่าย หลายทีม ยิ่งมีปัญหาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นเราต้องเรียนรู้การตั้งรับวิกฤติที่จะเกิดขึ้น และผ่านมันไปให้ได้เสมอ