ที่ทำงาน Toxic แค่ไหนก็ไหว! ถ้าได้พา “น้อง” มานั่งข้างๆ ด้วย

เดี๋ยวนี้ คนเป็น HR และหัวหน้าฝ่าย ต้องคอยอัพเดทสวัสดิการหัวก้าวหน้า ต้องคอยติดตามผลวิจัยใหม่ๆ ที่มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในออฟฟิศ

เรื่องนึงที่แม้จะยังไม่ใช่กระแสหลักนัก แต่ก็เริ่มพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็คือ “นโยบาย Pet-Friendly Workplace” ออฟฟิศอนุญาตให้พนักงานนำน้องๆ “สัตว์เลี้ยง” ของตัวเองมาไว้ที่ออฟฟิศได้!

 

อันเนื่องมาจากความคาดหวังในเรื่องสวัสดิการพนักงาน (Employee benefits) เปลี่ยนไปเยอะมากๆ โดยเฉพาะตั้งแต่หลังยุคโควิด-19 เช่น hybrid work, flexible hours, online meeting ล้วนเกิดขึ้นอย่างจริงจังหลังโควิด-19 ทั้งสิ้น

 

นำสัตว์เลี้ยงมาออฟฟิศได้อาจเจ๋งกว่าที่คิด

 

ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่หลายคนถูกล็อคดาวน์อยู่แต่ในบ้าน หลายคนมีอาการภาวะซึมเศร้าจากการไม่ได้พบปะผู้คน ไม่มีสังคม ไร้มนุษยสัมพันธ์ และไหนจะความกังวลในอนาคตที่ช่างหดหู่เหลือเกินในเวลานั้น

 

เรียกได้ว่า เพื่อนมนุษย์ที่หลายคนผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนั้นมาด้วยกัน ไม่ใช่เพื่อนที่เป็นคน แต่เป็นบรรดา “น้องๆ” หมาแมว หรือสัตว์เลี้ยงของพวกเรานี่เอง! จึงเกิดความผูกพันที่ยากจะตัดขาดได้

 

สำหรับพนักงานที่มีสัตว์เลี้ยงด้วยกัน สัตว์เลี้ยงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ชั้นเลิศ นี่เป็นวิธีที่เวิร์คมากๆ ที่ทำให้พนักงานในทีมเข้าขารู้ใจพูดคุยกันง่ายขึ้น

 

Pet-Friendly Workplace ยังเป็นวิธีปั้นทีมอ้อมๆ ให้เพื่อนร่วมงานรู้จักกันมากขึ้น เป็นเทคนิคหลอมละลายพฤติกรรมอันแนบเนียน กล่าวคือ คนเรามีหลายบุคลิกเป็นเรื่องปกติ ตอนอยู่ที่ทำงานเป็นอีกแบบนึง พอกลับบ้านก็กลายเป็นคนอีกแบบนึง การที่เรานำสัตว์เลี้ยงมาร่วมทีมที่ออฟฟิศ เป็นการเผยตัวตนอีกด้านให้เพื่อนร่วมงานรับรู้

 

  • เช่น จากก่อนหน้านี้หัวหน้าเป็นคนซีเรียสกับการทำงานเหลือเกิน ทุกอย่างต้องเป๊ะ ต้องมืออาชีพไปหมด จนอาจทำให้ลูกน้องรู้สึกประหม่าเวลาต้องเข้ามาคุยงานด้วย แต่หัวหน้าราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละกันเมื่อหิ้วเจ้าน้องเคธี่แมวแสนรักมาที่ออฟฟิศ ลูกน้องสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน ความเมตตา และความขี้เล่นกวนๆ อย่าวไม่น่าเชื่อของหัวหน้าเวลาอยู่กับแมว

 

และช่วยให้เอนจอย Work-life balance คือแทบจะหลอมรวมฟิลลิ่งของการอยู่บ้านกับสัตว์เลี้ยงและการทำงานจริงจังที่ออฟฟิศเข้าด้วยกัน ตอบโจทย์ความต้องการของ talents รุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นอย่างดี

 

นโยบายออฟฟิศ Pet-Friendly ยังเป็นกลยุทธ์ Talent retention ในการรักษาพนักงานให้อยู่กับบริษัทไปนานๆ ด้วย และสำหรับคนที่มีสัตว์เลี้ยงด้วยกัน สัตว์เลี้ยงทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ชั้นเลิศ นี่เป็นวิธีที่เวิร์คมากๆ ที่ทำให้พนักงานในทีมเข้าขารู้ใจพูดคุยกันง่ายขึ้น

 

รู้หรือไม่? ยังช่วยลดความ toxic & stress ในที่ทำงานด้วยนะ คงจะเยียวยาได้มากถ้าพนักงานถูกใครตำหนิต่อว่ารุนแรงแบบไม่เป็นธรรม เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว และหันมองไปรอบๆ เจอน้องตัวเองนั่งทำหน้าแป๋นอยู่ ก็คงจะพอเยียวยาสภาพจิตใจ และช่วยเป็นกำลังใจให้ลุยงานต่อไปได้!

 

ออฟฟิศหลายแห่งไม่รอแล้วนะ!

 

หลายแบรนด์หัวก้าวหน้าปูทางนโยบายนี้ให้น้องๆ มาวิ่งเล่นก่อนใครเพื่อนแล้ว!

 

เป็นที่รู้กันดีว่า Kimpton Hotels เป็นโรงแรมที่มีนโยบาย Pet-Friendly มาตั้งแต่เปิดตัวในปี 1981 ตอนแรกอนุญาตเฉพาะแขกโรงแรม แต่ต่อมา ได้ครอบคลุมถึงเหล่าพนักงานโรงแรมทั้งหมดด้วย ใครอยากรู้บรรยากาศในโรงแรมที่นำสัตว์เลี้ยงมาได้ ก็ลองแวะไปดูได้ที่ Kimpton Maa-Lai Bangkok 

 

แม้แต่คุณ Bill Kimpton เจ้าของผู้ก่อตั้ง ในยุคแรกก็ย้งนำสัตว์เลี้ยงมาทักทายพนักงานทุกคนแทบทุกวันอยู่เลย!

 

Google อีกหนึ่งเจ้าพ่อสวัสดิการพนักงานอันล้ำหน้าของโลกก็มีนโยบายนี้กับเขามาเนิ่นนานแล้ว โดยสุนัขตัวแรกที่ของพนักงานได้ย่างเท้ามาเยือนออฟฟิศ Google ตั้งแต่ปี 1999

 

Amazon สหรัฐอเมริกาลงทุนสร้างสวนเอ้าดอร์ภายในอาณาบริเวณออฟฟิศให้พนักงานนำสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่น ปัจจุบันมีสุนัขของพนักงานที่ลงทะเบียนแล้วมากกว่า 10,000 ตัวเลยทีเดียว!

 

ที่ Airbnb สัตว์เลี้ยงถูกปฏิบัติราวกับพนักงานย่อมๆ โดยจะมีบัตรสแกนเข้าออกออฟฟิศเลยทีเดียว พร้อมขนมของกินพรีเมียมที่พนักงานนำน้องๆ มากินได้

 

ริเริ่มนโยบาย Pet-Friendly Workplace ยังไงดี?

 

อันดับแรก ต้องออกแบบด้วยแนวคิด Inclusive ให้พนักงานมีส่วนร่วม ซึ่งรวมถึงกลุ่มคนที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์หรือกลัวสัตว์บางประเภทด้วย และต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทั้งสุขอนามัยและความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ

 

และต้องลงลึกรายละเอียดรอบด้าน อาทิเช่น กำหนดอาณาเขต (Designated boundary) บริเวณไหนเลี้ยงได้ ไปเล่นได้ ปล่อยให้น้องๆ วิ่งเล่นได้ และจุดไหนที่ห้ามโดยเด็ดขาด 

 

หรือ ออกแบบกฎระเบียบที่รัดกุม เช่น เล่นได้ช่วงเวลาไหน รายละเอียดการดูแล การแยกอาหารการกินไม่ให้ปะปน น้องต้องควบคุมพฤติกรรมตัวเอง ไม่สร้างความวุ่นวาย มีสุขอนามัยฉีดวัคซีนมาแล้ว มีประกันสุขภาพครบถ้วน และอาจต้องมีการยินยอมด้วยว่าหากเกิดความเสียหายจากสัตว์เลี้ยงนั้นๆ ขึ้นมา เจ้าของต้องรับผิดชอบ

 

สำหรับการริเริ่ม ควรทดลองก่อนในสเกลเล็กๆ เช่น เริ่มกำหนดให้ 1 วันในสัปดาห์อนุญาตให้พนักงานนำสัตว์เลี้ยงมาได้ แน่นอนว่าคงต้องมีปัญหาและเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ให้ค่อยๆ ปรับจูนกันไปตามความต้องการของพนักงานทุกฝ่าย

 

เรียกได้ว่า Pet-Friendly Workplace เป็นนโยบายที่มีความเป็นไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อดูจากผลลัพธ์ดีๆ ที่เกิดขึ้น องค์กรยุคใหม่ก็น่าจะลองประยุกต์ริเริ่มใช้ดู เพื่อเป็นสถานที่แห่งความสุขสำหรับพนักงานทุกคนและน้องๆ ทุกตัว

 

อ้างอิง

 

Author

  • CareerVisa Team

    รวบรวมและแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อการพัฒนานอกกรอบของคนทำงาน

Related   Articles

ดูยังไงว่าคนสัมภาษณ์งานกำลังพูดไม่จริง

ผลวิจัยเผยว่า คนเรา “โกหก” ซึ่งๆ หน้าเวลาสัมภาษณ์งานมากกว่าที่คิด เพื่อปกปิดเรื่องที่ไม่อยากให้รู้ หรือให้รู้แค่บางส่วนเท่าที่อยากให้รู้พอ หลายคนทำไปเพราะสถานการณ์บังคับ คือพื้นฐานเป็นคนดีมีจรรยาบรรณ แต่จังหวะสำคัญนี้ก็ต้องขอซักหน่อย เพราะใครๆ ก็อยากได้งาน

คนแบบไหนที่ไม่น่าอยู่ในอำนาจได้นาน 

การไต่เต้าขึ้นมาเป็นหัวหน้ามีอำนาจในมือ vs. การรักษาตำแหน่งหัวหน้าและอำนาจในมือ เป็น 2 สิ่งที่ดูเผินๆ เหมือนกัน แต่ถ้าดูลึกๆ จะพบว่าต่างกันสิ้นเชิง